80% ของตลาดเบียร์มูลค่า 40,000 ล้านบาท เป็นส่วนแบ่งของเบียร์สิงห์ ซึ่งมีสโลแกนคู่ประเทศมาว่า
"เมืองไทยของเรา เบียร์ไทยของเรา" อยู่ทั่วทุกหนแห่งที่พึงจะมีป้ายโฆษณาติดตั้งอยู่ได้
ส่วนอีก 20% ที่เหลือกระจายไปให้กับเบียร์รายย่อยๆ อีกไม่กี่เจ้า
แต่มาวันนี้ ตลาดเบียร์ในประเทศไทย มีผู้ผลิตและผู้นำเข้าเบียร์หลายรายเล็งที่จะปันเค้กชิ้นนั้นออกมาให้มากกว่าเดิม
ด้วยกลยุทธ์นานัปการที่จะนำมาใช้กับตลาดมูลค่ามหาศาลนี้
เบียร์นอกหรือเบียร์นำเข้าจากต่างประเทศ เริ่มทยอยยกทัพเข้าไทยประปรายมานานหลายปี
จนในช่วงไม่กี่ปีก่อนหน้านี้การเข้ามาของเบียร์นอกเริ่มคึกคักขึ้นอย่างผิดหูผิดตา
และมีแนวโน้มจะเติบโตต่อไปได้ดีในตลาดเมืองไทยที่พร้อมจะเข้าสู่ยุคของโลกไร้พรมแดนในทุกด้าน
แม้ว่าในวันนี้สัดส่วนตลาดของเบียร์นอกจะยังมีเพียง 1% ของมูลค่าตลาดรวมก็ตาม
ถึงวันนี้ตลาดเบียร์นอกยังคงบูมขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้แบ่งได้ชัดเจนว่าตลาดเบียร์มีอยู่
2 ส่วนหลักๆ คือเบียร์ท้องถิ่นที่เน้นความเป็นเบียร์ไทยรสชาดเข้มข้ม กับเบียร์นอกยี่ห้อดังๆ
จากต่างประเทศ ที่เข้ามาเป็นทางเลือกให้กับคนที่ต้องการดื่มเบียร์รสชาติเบาๆ
และนี่เอง เป็นเหตุผลให้ตลาดผู้บริโภคเบียร์เปลี่ยนไป
ศิลป์ชัย ชัยสิทธิเวชช ประธานบริษัทเบ็คส์ ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด
เล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า ตลาดผู้บริโภคเบียร์เปลี่ยน เพราะคนเริ่มเข้าใจว่ารสชาดเบียร์ที่แท้จริงแบบต้นตำรับเยอรมันเป็นเช่นไร
หรือรสชาดเบียร์สากลที่คนทั่วโลกนิยมดื่ม คำว่าเบียร์ไม่ใช่มีรสชาติเดียวอย่างที่คนไทยเคยรู้จัก
"แรกๆ คนอาจจะรู้สึกแปลกกับรสชาติใหม่ แต่ก็เริ่มเข้าใจว่ารสชาติเบียร์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร
ทำให้แม้แต่เจ้าตลาดเบียร์ไทยอย่างสิงห์ก็ต้องปรับตัว เสริมสินค้าเป็นเบียร์นอก
ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าเบียร์ยี่ห้อโคโรน่า และมิลเลอร์ หรือแม้แต่เบียร์สดของสิงห์ก็เน้นรสชาติแบบเบียร์เยอรมันแท้เช่นกัน
เพราะถ้าไม่เข้ามา แชร์ 1% ที่มีอยู่และยังมีแนวโน้มโตขึ้นเรื่อยๆ ก็จะตกเป็นของคนอื่นหมด"
ศิลป์ชัยยังเล่าถึงประวัติเบียร์และการดื่มเบียร์ของคนไทยว่า
เริ่มจากบริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด เป็นผู้นำเข้าเบียร์มาเป็นเจ้าแรก
เพราะคนในตระกูลภิรมย์ภักดีส่วนมากนิยมส่งลูกไปเรียนที่เยอรมัน
เอาสูตรเบียร์จากเยอรมันกลับมาพัฒนาเป็นเบียร์สิงห์เมื่อ 60 กว่าปีก่อน
แต่มาดัดแปลงให้เข้ากับรสปากคนไทย มีรสเข้มข้นและกลิ่นแรงกว่าเบียร์เยอรมัน
ตลอด 60 กว่าปีที่ผ่านมา สิงห์เรียกได้ว่าเป็นยี่ห้อเดียวที่คนไทยนิยมดื่มมาก
สาเหตุหนึ่งเพราะไม่ตัวเลือกอื่น การปรุงรสจึงไม่มีข้อเปรียบเทียบ ลูกค้าจึงรู้สึกและฝังใจมาตลอดเวลาว่ารสชาดที่ตนคุ้นเคยนี้คือเบียร์ที่แท้จริง
ต่อมาสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ออกเบียร์มาหลายยี่ห้อ เช่น เบียร์แผนที่
แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ คนไม่ยอมรับเพราะรสชาติแตกต่างจากที่เคยรู้สึก ก็เลยว่าเป็นเบียร์ที่รสชาติเพี้ยน
หรือแม้กระทั่งเมื่ออุเทน เตชะไพบูลย์ นำเบียร์อมฤตเข้ามา โดนเน้นสไตล์ความเป็นเบียร์เยอรมันขนานแท้พร้อมกับมีรางวัลชนะการประกวดจากการประกวดเบียร์โลกมาเป็นเครื่องรับประกัน
แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จอีก เพราะอย่างไรๆ คนไทยก็ดูจะยังไม่ยอมรับรสชาติเบียร์แบบอื่น
"เรียกได้ว่าเป็นรสชาติเยอรมันจ๋า ฝรั่งชอบ แต่คนไทยไม่ชอบ"
ศิลป์ชัย กล่าวพร้อมทั้งให้เหตุผลว่า
สาเหตุเพราะอมฤต ไปเน้นโปรโมตแบบสิงห์ที่ว่าเป็นเบียร์ไทย คนก็เลยเอะใจแล้วไม่รับ
เพราะรสชาติที่ดื่มไม่เหมือนกัน
ในขณะนั้นหรือประมาณ 20 ปี ศิลป์ชัย ได้เข้าไปทำงานกับเบียร์อมฤตจึงช่วยคิดวิธีโปรโมตให้ติดตลาด
ขณะเดียวกัน ก็ไปติดต่อกับทางเบียร์เบ็คส์ที่เยอรมัน เพื่อขอสิทธิ์การผลิตแต่ถูกปฏิเสธเพราะทางเยอรมันกลัวจะทำรสชาติเสียไปจากต้นตำหรับถ้าไม่มีการควบคุมคุณภาพ
แต่อนุญาตให้นำเข้าได้ ก็เลยตกลงกันไม่ได้เพราะถ้านำเข้าจะราคาสูงก็เลยเงียบ
แต่ทางเยอรมันก็ให้สิทธิ์ในการผลิตคลอสเตอร์เบียร์มาแทน แต่ก็เป็นสูตรเดียวกันกับที่ผลิตเบียร์เบ็คส์
แล้วเก็บค่ารอยัลตี้ ตอนนั้นประมาณช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ยังคงไม่ประสบความสำเร็จ
เพราะไปดำเนินแผนตามรอยเดิมคือโปรโมตว่าเป็นเบียร์ไทย
ศิลป์ชัย จึงแก้เกมด้วยการวางสถานภาพใหม่ โดยให้คลอสเตอร์เบียร์ โปรโมตว่าเป็นเยอรมัน
"พอบอกว่าเป็นเยอรมันคนก็รับรู้แล้วว่ารสชาติมันต่างกัน เราก็ย้ำว่าเป็นเบียร์เยอรมัน
ทำเป็นสินค้าพรีเมียม มีห่อฟรอยด์ทำให้ดูดี เรียกว่าเอามาใส่สูท แล้วก็ถีบราคาให้หนีขึ้นไปจากเบียร์ไทย
ราคาตอนนั้นแพงกว่าเบียร์สิงห์ 5 บาท" ศิลป์ชัย กล่าว
อีกสาเหตุที่ทำให้คลอสเตอร์ประสบความสำเร็จก็คือค่านิยมของผู้บริโภค พอเห็นเป็นสินค้าไฮคลาส
ก็จะถือว่าไม่แพง โดยที่ส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจว่ารสชาติเบียร์แท้ๆ เป็นอย่างไร
แต่ทางผู้ผลิตก็ถือโอกาสโปรโมตย้ำลงไปให้ผู้บริโภคสั่งชื่อเบียร์ทุกครั้งเวลาจะดื่ม
กลยุทธ์นี้เห็นผลสำเร็จทำให้คลอสเตอร์เบียร์ติดตลาดได้ในปีเดียว พอขึ้นปีที่
2 ศิลป์ชัยก็จัดให้มีเบียร์การ์เด้นเพื่อโปรโมตอีกทาง โดยจัดขึ้นครั้งแรกที่สยามเซ็นเตอร์
ประเดิมได้ผลดี คนแน่น จากนั้นเบียร์การ์เด้นจึงเกิดขึ้นทุกปีในช่วงฤดูหนาว
พอมีคู่แข่งเป็นเบียร์รายที่ 2 เกิดขึ้น ทำให้สิงห์ที่เคยครองตลาดเบียร์ทั้งหมด
ก็ต้องปันส่วนแบ่งไปให้คลอสเตอร์ประมาณกว่า 10% ทำให้เริ่มเกิดการแข่งขันของตลาดขึ้นแล้วตั้งแต่นั้นมา
ศิลป์ชัย ซึ่งยังคงวันเวียนอยู่กับธุรกิจเบียร์ก็ได้กลับเข้าไปในส่วนของเบียร์อมฤตอีกครั้งเมื่อ
3-4 ปีก่อนเป็นเวลาเดียวกับที่อมฤตมีปัญหากับทางเบ็คส์เพราะเบ็คส์ต้องการขอขึ้นค่าลิขสิทธิ์ของคลอสเตอร์
เขามองว่าการต่อรองจะต้องมีเบียร์อีกตัว เมื่ออมฤตขายแต่เบียร์สด ก็เลยปลุกเอาอมฤตเอ็นบี
ขึ้นถ่วงดุลกับเบียร์คลอสเตอร์ ทำสูตรเยอรมันแท้ แต่งหน้าให้เป็นฝรั่งทางเยอรมันเห็นก็เลยให้ต่ออายุคลอสเตอร์อีก
10 ปี แล้วขึ้นค่ารอยัลตี้เพียงเล็กน้อย แล้วต่อมาอมฤตเอ็นบีที่ถูกปลุกขึ้นมาก็ถูกคลอสเตอร์ตีตลอดจนยังไป
ในขณะที่คลอสเตอร์ขายดี ผลิตเต็มกำลัง
จนมาในช่วงไม่กี่ปี ซึ่งเป็นยุคทองของตลาดเบียร์ เบียร์นอกเริ่มเข่ามาในไทยมากขึ้น
ไม่ว่าเป็นบัดไวเซอร์ ไฮเนเก้น คาร์สเบอร์ก เบียร์ช้างที่เน้นความเป็นเบียร์ไทยก็ออกต่อๆ
กันมาโดยทิ้งระยะห่างกันอย่างมากเพียง 1 ปี โดยเบียร์นอกจะมีแอลกอฮอลล์ประมาณ
5% ซึ่งต่ำกว่าเบียร์ไทย เช่นสิงห์จะมีประมาณ 5.5% แต่ช้างจะมีประมาณ 5-7%
เบ็คส์เยอรมัน ก็เริ่มมองว่าตลาดเบียร์นอกในไทยเริ่มมีแนวโน้มการเติบโตสูงจึงติดต่อเข้ามาหาศิลป์ชัยว่าจะร่วมลงทุนกับทางเยอรมันไหม
โดยมีศิลป์ชัยเป็นผู้หาทีมผู้ลงทุน โดยตอนเริ่มแรกว่าจ้างให้อมฤต บริวเวอรี่
เป็นผู้ผลิตโดยทางเยอรมันส่งคนมาคุมเพื่อกันการเพี้ยนของสูตรเหมือนเหตุการณ์ที่ครั้งหนึ่งเกิดขึ้นกับคลอสเตอร์ที่มีการเปลี่ยนสูตรเอง
เพราะขาดการติดต่อกับต้นตำรับทางเยอรมัน
เพราะในประเทศเยอรมันเอง จะเข้มงวดในเรื่องการผลิตเบียร์อย่างมาก การผลิตจะต้องกระทำภายใต้กฎหมายที่เรียกว่า
เพียวริตี้ ลอว์ เพื่อเป็นการอนุรักษ์การผลิตเบียร์ที่เป็นรสชาติต้นตำรับเยอรมันแท้ๆ
ซึ่งจะต้องมีประกาศติดไว้ข้างกระป๋อง การบอกสูตรผสมที่ประกอบด้วย 4 อย่างนี้
คือ ยีสต์ ฮอป มอลล์ และน้ำ และห้ามใส่สารเคมี
โดยทั่วไปรสชาติของเบียร์จะแตกต่างกันอยู่ 3 รส คือ รสชม รสหวาน และรสจืด
โดยฮอป จะมีกลิ่นหอมเป็นตัวให้รสขม เช่น ไฮเนเก้นจะใส่มาก แต่กลับรสขมด้วยการใส่น้ำตาล
ยีสต์จะเป็นตัวส่งกลิ่นเหม็นในเบียร์และมอลล์ จะมีกลิ่นหอมของข้าวและให้รสชาติมัน
เช่น เบ็คส์ เป็นต้น
สารอาหารในเบียร์จะประกอบด้วยโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตมาก การดื่มเบียร์จึงควรจะดื่มที่อุณหภูมิ
6 องศาเซลเซียส เพราะการแช่เป็นวุ้นหรือเกล็ดน้ำแข็งอย่างที่หลายคนนิยม จะทำให้โปรตีนแตก
เบียร์จะขุ่น ขณะเทควรให้เกิดฟองเพื่อให้กรดแตกตัว และส่งกลิ่นหอมขณะดื่ม
จะช่วยลดอาการท้องอืดได้เล็กน้อย เพราะก๊าซจะไม่อัดลงในกระเพาะทั้งหมด
เบียร์เป็นเครื่องดื่มที่มีเสน่ห์เพราะดื่มได้ทุกโอกาสแม้เป็นทางการ หรือยามพักผ่อนผิดกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางชนิด
เช่นไวน์ ที่ต้องมีพิธีรีตองมาก ทำให้มีปริมาณการดื่มเบียร์ค่อนข้างสูง สำหรับคนไทยมีสถิติการดื่มเบียร์เฉลี่ย
8-10 ลิตรต่อคนต่อปี หรือเฉลี่ยปีละ 6 ล้านเฮกโตลิตร
แต่ถ้าจะให้ตลาดเบียร์มีมูลค่าพุ่งสูงกว่านี้ คงต้องเร่งให้คนไทยดื่มเบียร์เท่าคนเยอรมัน
ซึ่งเป็นผู้คิดต้นตำรับเบียร์ซึ่งมีอัตราเฉลี่ยสูงถึงคนละ 140 ลิตรต่อคนต่อปีให้ได้เสียก่อน
เมื่อนั้นมูลค่าตลาดเบียร์ในประเทศไทย คงจะขึ้นถึงแสนล้านบาทได้ไม่ยาก