ผู้บริหารแผนฯ ทีพีไอคนใหม่ไฟแรง เรียกประชุมผู้บริหารระดับปฏิบัติงานมาชี้แจงรายละเอียดการทำงานในวันนี้
หลังจากนั้นจะเดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงงานในวันจันทร์ (21) หวังสร้างขวัญกำลังใจในการทำงาน
ด้านประชัย ยืนยันทีพีไอกลับมาแกร่งอีกครั้ง หลังจากถูกอดีตผู้บริหารแผนฯเดิม
"อีพีแอล" กลั่นแกล้งจนทำให้ต้นทุนการผลิตสูงกว่าสิงคโปร์
วานนี้ (16 ก.ค.) 5 ตัวแทนกระทรวงการคลัง ประกอบด้วย พล.อ. มงคล อัมพรพิสิฏฐ์
นายทนง พิทยะ นายอารีย์ วงศ์อารยะ นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา และนายพละ สุขเวช
ในฐานะผู้บริหารแผนชุดใหม่ของบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน)(ทีพีไอ)
เดินเทางมารับโอนอำนาจจากเจ้านายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ในฐานะผู้บริหารแผนชั่วคราว ซึ่งได้มอบ ดวงตราประทับ บัญชีทรัพย์สินและเอกสารการเงิน
พร้อมทั้งชี้แจงรายละเอียด หลังจากเข้ามาบริหารงานทีพีไอตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ได้นำคณะผู้บริหารแผนฯชุดใหม่ไปตรวจดูห้องทำงานในตึกทีพีไอ ทาวเวอร์
พร้อมทั้งเปลี่ยน แปลงกรรมผู้มีอำนาจลงนาม โดยแต่งตั้งให้นายพละ และนายปกรณ์ เป็นกรรมการ
2 คนที่มีอำนาจลงนาม ซึ่งได้เริ่มทำงานทันที
พล.อ.มงคล ประธานผู้บริหารแผนชุดใหม่ กล่าวว่า ในวันนี้ (17) คณะผู้บริหารแผนทีพีไอ
ได้เรียกประชุมฝ่ายบริหารงานเพื่อรับฟังการชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการทำงาน และในวันจันทร์ที่
21 ก.ค.นี้ จะเดินทาง ไปตรวจเยี่ยมโรงงาน จังหวัดระยอง เพื่อ มอบนโยบาย และสร้างขวัญกำลังใจให้แก่พนักงาน
ส่วนการเลือกบริษัทที่ปรึกษาทาง การเงินเพื่อประเมินการบริหารงานและฐานะของบริษัท
อันจะนำไปสู่การปรับปรุงแผนฟื้นฟูกิจการนั้น พล.อ. มงคล ยืนยันว่าจะคัดเลือกที่ปรึกษาทาง
การเงิน ซึ่งเป็นที่ยอมรับของลูกหนี้และเจ้าหนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง
ในเบื้องต้น ผู้บริหารแผนฯ ได้แบ่งงานดูแล โดยนายปกรณ์และนายทนง จะดูแลด้านการเงิน
ส่วนนายพละดูแลด้านโรงกลั่นและการตลาด และพล.อ. มงคลและนายอารีย์ ดูแลการบริหารในภาพรวม
นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ผู้บริหารลูกหนี้ กล่าวว่า การบริหารงานทีพีไอนับจากนี้ขึ้นอยู่กับผู้บริหารแผนชุดใหม่
ในฐานะผู้บริหารลูกหนี้ได้พยายามดูแล ให้โรงงานเดินเครื่องอย่างมีสมรรถภาพสูงสุด
จากเดิมที่ถูกกลั่นแกล้งจากบริษัท เอ็ฟเฟ็คทีฟ แพลนเนอร์ส ผู้บริหารแผนฯเดิม เช่น
การสั่งน้ำมันดิบเข้ามาครั้งละ 1 ล้านบาร์เรล ต้นทุนค่าขนส่งสูง แข่งขันกับสิงคโปร์ได้ยาก
แต่หลังจากตนเข้ามาเป็นผู้บริหารแผนชั่วคราวได้ มีการสั่งซื้อน้ำมันดิบครั้งละ
1.5 ล้านบาร์เรล ช่วยลดต้นทุนค่าขนส่ง ถึงบาร์เรลละ 80 เซ็นต์
"ทุกวันนี้ เราปรับสภาพธุรกิจให้พร้อมที่จะแข่งขันสู้กับคู่แข่งได้แล้ว
จาก เดิมที่ถูกกลั่นแกล้งจากอีพีแอล โดยสั่งน้ำมันดิบเข้ามาครั้งละ 1 ล้านบาร์เรล
ต่ำกว่าโรงกลั่นที่สิงคโปร์ ซึ่งนำเข้าน้ำมันดิบครั้งละ 1.5 ล้านบาร์เรล ทำ ให้ค่าขนส่งสูงกว่าคู่แข่ง"
นอกจากนี้ บริษัทได้ดำเนินการจัดหาสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนประมาณ 3 พันกว่าล้านบาท
จากธนาคารกรุงศรีอยุธยาแล้ว หลังจากศาลมีคำสั่งเห็นชอบ ส่วนวงเงินสินเชื่อที่คณะกรรม
การเจ้าหนี้ระงับไว้ 80 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น คงต้องรอคำสั่งจากศาลล้มละลายกลาง