"กู๊ดเยียร์" เล็งใช้ศักยภาพฐานการผลิตทั้งหมดในอาเซียน รองรับตลาดรถไทยโตทะลุล้านคันปี
2549 แม้ปัจจุบัน โรงงานในไทยจะมีกำลังผลิตเต็มที่ เฉลี่ย 6,000 เส้นต่อวัน จากการผลิตป้อน
2 เก๋งสุดฮิต คู่กัด โซลูน่า วีออส และซิตี้ ส่งผลตลาดยางโออีเอ็มโตถึง 50% ช่วงครึ่งแรกปีนี้
เทียบช่วงเดียวกัน ปีม้า เมื่อบวกยางตัวใหม่ ที่คาดจะมีมูลค่ายอดขายถึง 250 ล้านบาท
ทำให้กู๊ดเยียร์ปีนี้ ยอดขายน่าจะโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีที่แล้ว
นายยูอิจิ โยชิซาวา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท กู๊ดเยียร์ (ประเทศไทย) จำกัด
(มหาชน) ในเครือกู๊ดเยียร์จากแดนมะกัน เปิดเผยว่าจากคาดการณ์แนวโน้มตลาดรถยนต์ไทยปี
2549 จะมียอดขายทะลุหลักล้านคัน กู๊ดเยียร์พร้อมจะรองรับตลาดได้แน่นอน แม้ปัจจุบัน
กำลังผลิตยางเกือบจะเต็มแล้วก็ตาม แต่กู๊ดเยียร์สามารถใช้ศักยภาพการผลิตจากโรงงานต่างๆ
ในอาเซียนรองรับได้
"หากตลาดรถขยายมากจนเกินกำลังการผลิตของโรงงานในไทย เรายังสามารถรองรับได้
โดยใช้ศัยภาพโรงงานของกู๊ดเยียร์ในภูมิภาคอาเซียน มารองรับตลาดรถในไทย เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของกู๊ดเยียร์"
ที่พยายามจะให้โรงงานทุกแห่งดำเนินงานเต็มกำลังการผลิต ให้หมด" นายโยชิซาวากล่าว
อาเซียนมี 4 โรงงาน
ปัจจุบัน กู๊ดเยียร์มีโรงงานผลิตยางรถยนต์ ในอาเซียน 4 แห่ง ประกอบด้วย ไทย ฟิลิปปินส์
อินโดนีเซีย และมาเลเซีย โรงงานในไทย ใช้กำลังการผลิตเต็มแล้ว คือผลิตได้ประมาณ
6,000 เส้นต่อวัน ส่วนโรงงานที่เหลืออีก 3 ประเทศ ยังมีกำลังผลิตเหลือ
ดังนั้น หากตลาดรถไทยโตจนเกินกำลังการผลิต ที่โรงงานในไทยของกู๊ดเยียร์จะรองรับได้
จึงยังสามารถใช้ศักยภาพโรงงานทั้ง 3 แห่งที่เหลือในภูมิภาครองรับได้ แต่หากตลาดเติบโต
จนมีแนวโน้มเกินกำลังผลิตโรงงานทุกแห่ง กู๊ดเยียร์ก็พร้อมจะขยายโรงงานในไทยทันที
ใช้ประโยชน์อาฟต้า
นายโยชิซาวาเปิดเผยว่า สาเหตุที่กู๊ดเยียร์เลือกใช้ศักยภาพการผลิตของโรงงานในอาเซียน
แทนการลงทุนขยายโรงงานเพิ่มเติมในไทย เนื่องจากปัจจุบันอาเซียนเปิดเสรีการค้า
ภายใต้กรอบ ข้อตกลงเขตการเสรีในอาเซียน (อาฟต้า-AFTA) ทำให้กำแพงภาษีที่เคยมี ไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป
ประกอบกับศักยภาพการผลิตของกู๊ดเยียร์ ไม่ว่าจะเป็นที่ใด ล้วนมีมาตรฐานเดียวกัน
เป็นที่ยอมรับของทั้งผู้ผลิตรถยนต์และลูกค้าในไทย ทำให้ปัญหาเรื่องคุณภาพหมดไป
ส่วนการผลิตยางรถยนต์ของกู๊ดเยียร์ในไทย ปัจจุบันผลิตประมาณ 6,000 เส้นต่อวัน
หรือเฉลี่ยประมาณ 1.5 ล้านเสันต่อปี สัดส่วนส่งออกประมาณ 20-30% เมื่อพิจารณาเฉพาะตลาดในประเทศ
แบ่งเป็นป้อนตลาดยางทดแทน (RE) ประมาณ 85% ที่เหลือส่งตลาดโรงงานประกอบรถยนต์ (OEM)
ในส่วนตลาดยางรถยนต์โดยรวมในไทย คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 11 ล้านเส้น ส่วนใหญ่
จะเป็นตลาดยางทดแทนประมาณ 8 ล้านเส้น ที่เหลืออีก 3 ล้านเส้น จะผลิตป้อนตลาดโรงงานประกอบรถยนต์
สถานการณ์กู๊ดเยียร์ในไทย คาดว่าถึงสิ้นปีนี้ จะมีอัตราเติบโตโดยรวมจากปีที่ผ่านมาประมาณ
10% สาเหตุจากตลาดรถยนต์เติบโตอย่างมาก ประกอบกับตลาดยางป้อนโรงงาน (OEM) ของกู๊ดเยียร์ครึ่งแรกปีนี้
เติบโตสูงถึง 50% จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว จากการส่งยางประกอบในโรงงาน ให้รถยนต์โตโยต้า
โซลูน่า วีออส และฮอนด้า ซิตี้ ที่ล้วนเป็นรถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดในตลาดขณะนี้
นายโยชิซาวาเปิดเผยว่า ด้านตลาดยางทดแทนของกู๊ดเยียร์ น่าจะเติบโตในระดับเดียว
กับตลาดโดยรวม เนื่องจากล่าสุด ได้เปิดตัวแนะนำยางคุณภาพสูงรุ่นใหม่ "ดูคาโร่ จีเอ"
(DUCARO GA) เพื่อเฉลิมฉลองการดำเนินกิจการในประเทศไทยครบ 35 ปี
สำหรับยางดูคาโร่ จีเอ ออกแบบมาให้เหมาะสำหรับรถยนต์นั่งขนาดกลางและเล็ก ให้ประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนดี
เงียบและ นุ่มนวล พร้อมดีไซน์โดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะ
เพื่อตอบแทนลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจในผลิตภัณฑ์ของกู๊ดเยียร์ จึงมอบเงื่อนไขพิเศษกับโครงการ
"รับประกันความพึงพอใจในสมรรถนะการใช้งานของยาง กู๊ด เยียร์ ดูคาโร่ จีเอ"
โดยยินดีเปลี่ยนยางรุ่นใหม่ของกู๊ดเยียร์ให้ทันที หากลูกค้าไม่พอใจในผลิตภัณฑ์
หลังจากใช้งานไม่เกิน 14 วัน หรือระยะทางไม่เกิน 500 กิโลเมตร นับจากวันที่ซื้อ
โดยจะเริ่มตั้งแต่วันนี้และสิ้นสุดภายในวันที่ 31 ตุลาคมศกนี้
"จากคุณภาพของยางดูคาโร่ จีเอ และเงื่อนไขพิเศษที่มอบให้กับลูกค้า ทำให้กู๊ด
เยียร์ มั่นใจว่า จะสามารถทำยอดขายได้ภายในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 200,000 เส้น หรือมีมูลค่ายอดขายประมาณ
250 ล้านบาท" นายโยชิซาวากล่าว
สำหรับเครือข่ายการจำหน่ายยางรถรุ่นนี้ จะผ่านตัวแทนจำหน่ายอีเกิ้ลสโตร์ และร้านค้าทั่วไป
โดยเฉพาะร้านอีเกิ้ลสโตล์ที่เป็นมาตรฐาน ของกู๊ดเยียร์ ที่ปีนี้คาดว่าจะเปิดเพิ่มอีกเป็น
70 แห่ง จากปัจจุบันที่มีอยู่ 60 แห่ง ตรงนี้จะทำให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้บริการร้านตัวแทน
ที่มีมาตรฐานได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น