|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ไมเนอร์กรุ๊ป พลิกแผนลงทุน กระจายความเสี่ยง บุกต่างประเทศมากขึ้น ตั้งเป้าในอีก 5 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้ตลาดต่างประเทศเพิ่มเป็น 30% หลังพบธุรกิจโรงแรมภายในประเทศแข่งดุ ส่วนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม หวั่นเศรษฐกิจทำกำลังซื้อทรุด ระบุพร้อมปรับลดพนักงาน เหตุกว่า 90% เป็นพาร์ทไทม์
นางปรารถนา มโนมัยพิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) (MINT) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ปรับแผนการดำเนินธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มธุรกิจโรงแรมและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยจะให้ความสำคัญกับการขยายการลงทุนไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงทางธุรกิจ หากสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองในประเทศไทยมีผลกระทบให้กำลังซื้อลดลง รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยตั้งเป้าหมายว่า ใน 5 ปีนับจากนี้ไปสัดส่วนรายได้จากการลงทุนในต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 30% ส่วนรายได้ในประเทศเป็น 70% จากปัจจุบัน รายได้จากการลงทุนในต่างประเทศคิดเป็น 10%
ทั้งนี้ประเทศที่บริษัทฯสนใจเข้าไปลงทุน ร่วมลงทุน หรือ รับบริหารจัดการโรงแรม จะอยู่ในแถบแอฟริกา ถึงออสเตรเลีย เดินทางจากไทยไม่เกิน 3-5 ชั่วโมงบิน เพราะจะได้ดูแลได้อย่างทั่วถึง นอกจากนั้น บริษัทฯยังมีเงินสดพร้อมที่จะลงทุนในอีก 5 ปีนับจากนี้ไปอีกราว 5 พันล้านบาท เพิ่มจากแผนเดิมที่วางไว้ว่าจะใช้เงินลงทุนราว 1.7 หมื่นล้านบาท รวมเป็น 2.2 หมื่นล้านบาท
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2 ปีนี้เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯมีรายได้รวมทุกธุรกิจอยู่ที่ 3,848 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% มีกำไรสุทธิ 351 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52% แบ่งเป็น รายได้จาก ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป(MFG) 2,049 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% ส่วนธุรกิจโรงแรมและธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีรายได้ในไตรมาส 2 ที่ 1,377 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20% ขณะที่ภาพรวมครึ่งปีแรก ( 6 เดือน) เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯมีรายได้รวม 8,212 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% มีกำไรสุทธิ 1,101 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62%
อย่างไรก็ตาม หากแยกเป็นรายธุรกิจ แบ่งตามประเภท ได้แก่ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ธุรกิจ ร้านเดอะพิซซ่า คอมปานี มีผลประกอบการลดลง 7.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นครั้งแรกตั้งแต่เปิดดำเนินการ ทั้งนี้เพราะโปรโมชั่น ราคาสินค้า และการโฆษณา ไม่โดนใจผู้บริโภค เมื่อเทียบกับคู่แข่งขัน ดังนั้นในไตรมาส 3 จึงปรับกลยุทธ์ ซึ่งตลาดให้การตอบรับดีขึ้น แต่ที่ภาพรวมธุรกิจกลุ่มนี้เติบโตได้ดี เป็นเพราะการขยายสาขา และการลงทุนในแบรนด์ใหม่ คือ เดอะคอฟฟี่คลับ และ ไทยเอ็กเพรส เป้าหมายปีนี้ธุรกิจกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มจะขยายสาขาให้มากกว่า 1,000 แห่ง จากขณะนี้มีอยู่ทั้งหมด 964 แห่ง โดยร้านคอฟฟี่คลับจะเปิดสาขาแรกในไทยปลายปีนี้ นอกจากนั้น มีความพร้อมที่จะปรับลดพนักงาน หากธุรกิจไม่ดี เพราะ 90% เป็นพนักงานพาร์ทไทม์
ส่วนธุรกิจโรงแรม ยอมรับว่าสถานการณ์ตลาดในประเทศมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากซัปพลายที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการกระจายตัวของแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆและแหล่งท่องเที่ยวเดิม เช่น กระบี่ และ เขาหลัก ส่งผลให้อัตราเข้าพักโรงแรมในเดสติเนชั่น หัวหิน และ เกาะสมุย ได้รับผลกระทบโดยอัตราเข้าพักในพื้นที่นี้ ของ บริษัทลดลงไปราว 10% แต่ที่ผลประกอบการของบริษัทฯเติบโต มาจากการขยายธุรกิจออกไปลงทุนที่ บาหลี ขณะที่ยังยึดกลุ่มลูกค้าเดิมไว้ได้ และสามารถปรับราคาห้องพักได้เพิ่มขึ้น จึงไม่กระทบมาก ประกอบกับมีการรับรู้รายได้จากการขายบ้านพักตากอากาศ ได้ถึง 3 ยูนิต และมีรายได้จากค่าธรรมเนียมการบริหารโรงแรมมากถึง 85 ล้านบาท
“การแข่งขันสูง จะกระทบกับโรงแรมกลุ่ม 4-5 ดาวขึ้นไป เช่น อนันตรา และ แมริออต ส่วนแบรนด์ โฟร์ซีซั่น ซึ่งเป็นระดับ 4 ดาว จะได้รับผลกระทบน้อย เพราะโปรดักส์มีความชัดเจน นักท่องเที่ยวก็มีมากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม แผนการสร้างโรงแรมที่ เขาหลัก ขณะนี้ชะลอออกไปก่อน โดย บริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจากับพื้นที่แห่งใหม่ ซึ่งเป็นโลเกชั่นที่ดีกว่า หากสำเร็จ ก็อาจขายพื้นที่เดิมออกไป ทำให้โครงการสร้างโรงแรมที่เขาหลักอาจชะลอออกไปราว 1-2 ปี
นางปรารถนา กล่าวถึงภาพรวมสถานการณ์ท่องเที่ยวในประเทศไทยด้วยว่า มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มขึ้น ครึ่งปีแรกเติบโตถึง 15% ส่วน ไตรมาส 3 นักท่องเที่ยวน่าจะทรงตัว และกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วงปลายปี สำหรับโรงแรมในกลุ่มของบริษัทฯครึ่งปีแรก มีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 72% ลดลงจากปีก่อน 1% ตลาดหลักเป็นลูกค้ามาจากยุโรป 41% เอเชีย 35% อเมริกาเหนือ 15% โอเชเนีย 4% และ อื่นๆอีก 6% ที่เป็นเช่นนี้เพราะสถานการณ์การแข่งขัน จึงเป็นสาเหตุให้ บริษัทฯต้องเน้นขยายงานออกไปยังต่างประเทศเพื่อลดความเสี่ยง
|
|
|
|
|