Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน19 สิงหาคม 2551
ไมเนอร์โหมตปท.ลดเสี่ยงคอฟฟี่คลับจ่อลุยไทยสิ้นปี             
 


   
www resources

โฮมเพจ ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล

   
search resources

ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น, บมจ.




ไมเนอร์กรุ๊ป พลิกแผนลงทุน กระจายความเสี่ยง บุกต่างประเทศมากขึ้น ตั้งเป้าในอีก 5 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้ตลาดต่างประเทศเพิ่มเป็น 30% หลังพบธุรกิจโรงแรมภายในประเทศแข่งดุ ส่วนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม หวั่นเศรษฐกิจทำกำลังซื้อทรุด ระบุพร้อมปรับลดพนักงาน เหตุกว่า 90% เป็นพาร์ทไทม์

นางปรารถนา มโนมัยพิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) (MINT) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ปรับแผนการดำเนินธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มธุรกิจโรงแรมและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยจะให้ความสำคัญกับการขยายการลงทุนไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงทางธุรกิจ หากสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองในประเทศไทยมีผลกระทบให้กำลังซื้อลดลง รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยตั้งเป้าหมายว่า ใน 5 ปีนับจากนี้ไปสัดส่วนรายได้จากการลงทุนในต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 30% ส่วนรายได้ในประเทศเป็น 70% จากปัจจุบัน รายได้จากการลงทุนในต่างประเทศคิดเป็น 10%

ทั้งนี้ประเทศที่บริษัทฯสนใจเข้าไปลงทุน ร่วมลงทุน หรือ รับบริหารจัดการโรงแรม จะอยู่ในแถบแอฟริกา ถึงออสเตรเลีย เดินทางจากไทยไม่เกิน 3-5 ชั่วโมงบิน เพราะจะได้ดูแลได้อย่างทั่วถึง นอกจากนั้น บริษัทฯยังมีเงินสดพร้อมที่จะลงทุนในอีก 5 ปีนับจากนี้ไปอีกราว 5 พันล้านบาท เพิ่มจากแผนเดิมที่วางไว้ว่าจะใช้เงินลงทุนราว 1.7 หมื่นล้านบาท รวมเป็น 2.2 หมื่นล้านบาท

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2 ปีนี้เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯมีรายได้รวมทุกธุรกิจอยู่ที่ 3,848 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% มีกำไรสุทธิ 351 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52% แบ่งเป็น รายได้จาก ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป(MFG) 2,049 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% ส่วนธุรกิจโรงแรมและธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีรายได้ในไตรมาส 2 ที่ 1,377 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20% ขณะที่ภาพรวมครึ่งปีแรก ( 6 เดือน) เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯมีรายได้รวม 8,212 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% มีกำไรสุทธิ 1,101 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62%

อย่างไรก็ตาม หากแยกเป็นรายธุรกิจ แบ่งตามประเภท ได้แก่ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ธุรกิจ ร้านเดอะพิซซ่า คอมปานี มีผลประกอบการลดลง 7.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นครั้งแรกตั้งแต่เปิดดำเนินการ ทั้งนี้เพราะโปรโมชั่น ราคาสินค้า และการโฆษณา ไม่โดนใจผู้บริโภค เมื่อเทียบกับคู่แข่งขัน ดังนั้นในไตรมาส 3 จึงปรับกลยุทธ์ ซึ่งตลาดให้การตอบรับดีขึ้น แต่ที่ภาพรวมธุรกิจกลุ่มนี้เติบโตได้ดี เป็นเพราะการขยายสาขา และการลงทุนในแบรนด์ใหม่ คือ เดอะคอฟฟี่คลับ และ ไทยเอ็กเพรส เป้าหมายปีนี้ธุรกิจกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มจะขยายสาขาให้มากกว่า 1,000 แห่ง จากขณะนี้มีอยู่ทั้งหมด 964 แห่ง โดยร้านคอฟฟี่คลับจะเปิดสาขาแรกในไทยปลายปีนี้ นอกจากนั้น มีความพร้อมที่จะปรับลดพนักงาน หากธุรกิจไม่ดี เพราะ 90% เป็นพนักงานพาร์ทไทม์

ส่วนธุรกิจโรงแรม ยอมรับว่าสถานการณ์ตลาดในประเทศมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากซัปพลายที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการกระจายตัวของแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆและแหล่งท่องเที่ยวเดิม เช่น กระบี่ และ เขาหลัก ส่งผลให้อัตราเข้าพักโรงแรมในเดสติเนชั่น หัวหิน และ เกาะสมุย ได้รับผลกระทบโดยอัตราเข้าพักในพื้นที่นี้ ของ บริษัทลดลงไปราว 10% แต่ที่ผลประกอบการของบริษัทฯเติบโต มาจากการขยายธุรกิจออกไปลงทุนที่ บาหลี ขณะที่ยังยึดกลุ่มลูกค้าเดิมไว้ได้ และสามารถปรับราคาห้องพักได้เพิ่มขึ้น จึงไม่กระทบมาก ประกอบกับมีการรับรู้รายได้จากการขายบ้านพักตากอากาศ ได้ถึง 3 ยูนิต และมีรายได้จากค่าธรรมเนียมการบริหารโรงแรมมากถึง 85 ล้านบาท

“การแข่งขันสูง จะกระทบกับโรงแรมกลุ่ม 4-5 ดาวขึ้นไป เช่น อนันตรา และ แมริออต ส่วนแบรนด์ โฟร์ซีซั่น ซึ่งเป็นระดับ 4 ดาว จะได้รับผลกระทบน้อย เพราะโปรดักส์มีความชัดเจน นักท่องเที่ยวก็มีมากขึ้น”

อย่างไรก็ตาม แผนการสร้างโรงแรมที่ เขาหลัก ขณะนี้ชะลอออกไปก่อน โดย บริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจากับพื้นที่แห่งใหม่ ซึ่งเป็นโลเกชั่นที่ดีกว่า หากสำเร็จ ก็อาจขายพื้นที่เดิมออกไป ทำให้โครงการสร้างโรงแรมที่เขาหลักอาจชะลอออกไปราว 1-2 ปี

นางปรารถนา กล่าวถึงภาพรวมสถานการณ์ท่องเที่ยวในประเทศไทยด้วยว่า มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มขึ้น ครึ่งปีแรกเติบโตถึง 15% ส่วน ไตรมาส 3 นักท่องเที่ยวน่าจะทรงตัว และกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วงปลายปี สำหรับโรงแรมในกลุ่มของบริษัทฯครึ่งปีแรก มีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 72% ลดลงจากปีก่อน 1% ตลาดหลักเป็นลูกค้ามาจากยุโรป 41% เอเชีย 35% อเมริกาเหนือ 15% โอเชเนีย 4% และ อื่นๆอีก 6% ที่เป็นเช่นนี้เพราะสถานการณ์การแข่งขัน จึงเป็นสาเหตุให้ บริษัทฯต้องเน้นขยายงานออกไปยังต่างประเทศเพื่อลดความเสี่ยง   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us