|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
บล.ภัทร ชี้แนวโน้มธุรกิจโบรกเกอร์ครึ่งหลังปี 51 ย่ำแย่ เหตุนักลงทุนชะลอการลงทุนฉุดมูลค่าการซื้อขายหด หลังปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศยังไม่คลี่คลาย ระบุรายได้ครึ่งปีหลังต่ำกว่า 6 เดือนแรกที่มีรายได้ 855 ล้านบาท กำไรสุทธิ 296 ล้านบาท ผู้บริหารเล็งฉวยจังหวะหุ้นลงเพิ่มพอร์ตลงทุน
นายสุวิทย์ มาไพศาลสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ PHATRA เปิดเผยถึง แนวโน้มธุรกิจหลักทรัพย์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 ว่า ธุรกิจหลักทรัพย์คงจะขยายตัวได้น้อยกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในการลงทุน จากเดิมที่มีความคาดหวังว่าจะมีการดำเนินการโครงการต่างๆ ของรัฐบาลจากที่ประกาศนโยบายออกมา แต่ไม่สามารถที่จะทำได้
ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นไทยยังไดรับผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศ ส่งผลให้นักลงทุนมีขายหุ้นออกมา และนักลงทุนชะลอการลงทุนทำให้มูลค่าการซื้อขายเบาบางตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงขณะนี้เฉลี่ยต่อวันที่ 1.3 หมื่นล้านบาทต่อวัน จากครึ่งปีแรกที่มีมูลค่าเฉลี่ย 1.9 หมื่นล้านบาทต่อวัน โดยประเด็นดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลให้รายได้ของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังจะต่ำกว่าครึ่งปีแรกที่มีรายได้รวม 855.65 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 296.88 ล้านบาท
นายสุวิทย์ กล่าวว่า จากปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทย ทั้งเรื่องของความไม่แน่นอนทางการเมือง เศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงปัจจัยต่างประเทศ ดังนั้นบริษัทจึงได้พยายามสร้างรายได้จากทุกธุรกิจที่บริษัทได้รับใบอนุญาต โดยในไตรมาส 4/51 บริษัทเตรียมที่จะออกสินค้าอนุพันธ์ ซึ่งทางผู้ถือหุ้นอนุมัติวงเงินในการออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (ดีลิเวอร์ทีฟ วอร์แรนต์) วงเงิน 1,500 ล้านบาท ที่บริษัทสามารถรับความเสี่ยงได้ และสตักเจอร์โน๊ต อีก 1,000 ล้านบาท
"การทำธุรกิจหลักทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังจะเหนื่อยกว่าครึ่งแรก เพราะในช่วงครึ่งปีแรกนั้นนักลงทุนมีความหวังการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นเดือนธันวาคมแล้วจะมีการดำเนินการตามนโยบายที่ประกาศเอาไว้ แต่เมื่อทำไม่ได้ ความคาดหวังของนักลงทุนก็จะลดลง ซึ่งจะต่ำกว่าครึ่งปีแรกที่มีวอลุ่มเฉลี่ยต่อวันที่ 1.9 หมื่นล้านบาท ส่วนปัจจัยต่างประเทศมีผลกระทบต่อทุกตลาดทั่วโลกแต่เรามีการเมืองด้วยจึงทำให้เหนื่อยมากขึ้น" นายสุวิทย์ กล่าว
สำหรับธุรกิจที่ปรึกษาในการให้คำแนะนำการลงทุน (Wealth Management) นั้น จากภาวะตลาดไม่ดีทำให้ มีมูลค่าเหลือ 9.4 หมื่นล้านบาท จากช่วงเดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท โดยตั้งเป้าสิ้นปี 2552 อยู่ที่ 2 แสนล้านบาท ซึ่งขณะนี้บริษัทแนะนำการลงทุนแบ่งเป็นการลงทุนในหุ้น 40% ตราสารหนี้ 15% สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทอง 20% ที่เหลือลงทุนในตลาดเงิน โดยบริษัทจะนำลงให้ลงทุนหลายประเภทเพื่อเป็นการลดความเสี่ยง
นายสุวิทย์ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตการลงทุนระยะกลางถึงยาว (3-5 ปี) มูลค่า 1,500 ล้านบาท ในการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีขนาดกลางและเล็ก ซึ่งปีนี้บริษัทได้มีการลงทุนเพิ่ม 3 บริษัท ทำให้ขณะนี้ลงทุนรวมเป็น 10 บริษัท ใช้เงินลงทุน 1,200 ล้านบาท และจากการที่ปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาประมาณ 20% ทำให้บริษัทมีผลตอบแทนติดลบระดับเดียวกับตลาด ขณะที่พอร์ตการลงทุนระยะสั้นของบริษัทมีมูลค่า 600 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกบริษัทกำไรจำนวน 10 ล้านบาท ส่วนครึ่งปีหลังยัไม่สามารถตอบได้จะมีกำไรเท่าเพราะขึ้นอยู่กับภาวะตลาด
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะเข้าไปลงทุนเพิ่มจากที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมาจึงเป็นโอกาสที่จะเข้าไปลงทุน โดยทางฝ่ายการลงทุนของบริษัทจะเป็นผู้พิจารณา ส่วนการลงทุนในต่างประเทศนั้น บริษัทเริ่มไปลงทุนแล้วโดยเป็นการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล คิดเป็นมูลค่ายังไม่มาก ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้มีการศึกษาที่จะไปทำธุรกิจต่างประเทศ
สำหรับงานด้านที่ปรึกษาทางการเงิน ในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขณะนี้มีจำนวน 3 บริษัท แต่จะเข้าจดทะเบียนได้เมื่อไรนั้นไม่ตอบได้ เพราะ ขึ้นอยู่กับภาวะตลาดหุ้น ซึ่งบริษัทมีหน้าที่ในการเตรียมความพร้อมของบริษัท และหากภาวะตลาดดีก็พร้อมที่จะเข้าระดมทุนได้ทันที ส่วนในด้านที่ปรึกษาทางการเงินในการควบรวม (M&A) ขณะนี้บริษัทยังดำเนินการอยู่ โดยธุรกิจที่จะมีการควบรวมนั้นจะเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกับต่างชาติและมีการเปิดเสรี
|
|
 |
|
|