Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน8 สิงหาคม 2551
หุ้นเด้ง 29 จุดรับ 'อ้อ' ลี้ภัย             
 


   
search resources

Stock Exchange




นักลงทุน เฮ! รับข่าว "คุณหญิงพจมาน ชินวัตร" ลี้ภัยหลบต่างประเทศ หวั่นหนีไม่รอดคดีความต่างๆ ส่งผลดันดัชนีตลาดหุ้นไทยพุ่งแรง 29 จุด คิดเป็น4.29% มูลค่าหนาแน่นสูงสุดในรอบ 2 เดือนกว่า 2.7 หมื่นล้านบาท บวกกับนักลงทุนต่างชาติหวนคืนตลาดหุ้นหลังราคาน้ำมันโลกลด ด้านโบรกเกอร์ ฟันธงครึ่งปีหลังตลาดหุ้นฟื้นตัว หลังปัจจัยลบทั้งใน-นอกประเทศเริ่มคลี่คลาย

ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (7 ส.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแรงตั้งแต่เปิดการซื้อขายในภาคเช้า หลังจากที่มีกระแสข่าวนักลงทุนต่างประเทศเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง จากราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวลดลงช่วยผ่อนคลายความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อ รวมถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะเริ่มทรงตัวจนถึงปลายปีนี้

ขณะที่ปัจจัยในประเทศ ประเด็นเรื่องของการลี้ภัยทางการเมืองของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา จะช่วยลดความขัดแย้งและคลี่คลายสถานการณ์ทางการเมืองได้ จึงส่งผลต่อจิตวิทยาทำให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น

โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยมีราคาต่ำสุดที่ 676.93 จุด และปิดการซื้อขายที่ระดับสูงสุดที่ 705.35 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 29.00 จุด หรือคิดเป็น 4.29% มูลค่าการซื้อขายรวม 27,148.71 ล้านบาท มีนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 834.57 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 2,052.36 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,217.79 ล้านบาทสำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ. ปตท. ราคาปิด 264 บาท เพิ่มขึ้น 24 บาท หรือคิดเป็น 10% มูลค่าการซื้อขาย 2,713.10 ล้านบาท บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม ปิดที่ 156 บาท เพิ่มขึ้น 11 บาท หรือ 7.59% มูลค่า 2,054.62 ล้านบาท และบมจ.ไทยออยล์ ปิดที่ 54 บาท เพิ่มขึ้น 4 บาท หรือ 8% มูลค่า 1,855.30 ล้านบาท

มูลค่าสูงสุดในรอบ 2 เดือน

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า วานนี้ (7 ส.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรง ก่อนจะปิดที่ระดับราคาสูงสุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ และมีมูลค่าการซื้อขายเข้ามาอย่างหนาแน่นถึงกว่า 2.7 หมื่นล้านบาท สูงสุดในรอบกว่า 2 เดือน โดยมีแรงซื้อเขามาในหุ้นทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ และอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

โดยปัจจัยที่เข้ามาสนับสนุนน่าจะเกิดจากปัจจัยในประเทศเป็นหลัก คือ กระแสข่าวการลี้ภัยของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยาอดีตนายกรัฐมนตรี ที่ทุกฝ่ายคาดการณ์ว่าจะช่วยให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศไม่ได้มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย พิจารณาจากดัชนีตลาดหุ้นภูมิภาค และราคาน้ำมันไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมากนัก

"ปัจจัยต่างประเทศแทบจะไม่มีผลต่อตลาดหุ้น เพราะไม่มีอะไรใหม่ ทั้งดาวโจนส์ ตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึงราคาน้ำมันเองก็ไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากจนส่งดีต่อตลาดหุ้น ดังนั้นปัจจัยหลักน่าจะเกิดจากข่าวการลี้ภัยของคุณหญิงพจมาน รวมถึงทุนต่างชาติที่คาดว่าจะกลับเข้ามาในตลาดหุ้นอีกครั้ง"

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (8 ส.ค.) การที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถยืนเหนือระดับ 700 จุดได้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีและสนับสนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปได้ แต่คาดว่าจะอยู่ในกรอบจำกัด เนื่องจากดัชนีได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงวานนี้ โดยประเมินแนวต้านไว้ที่ระดับ 715 จุด และแนวรับที่ 695 จุด

หุ้นพลังงาน-แบงก์ดันดัชนี

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างคึกคักหลังจากนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนจำนวนมาก โดยมีทั้ง 2 ลักษณะทั้งการเก็งกำไรและนักลงทุนที่เข้ามาช้อนซื้อเพื่อลงทุนจริงๆ หลังจากราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับลดลงต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานแล้ว ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ที่ประกาศออกมานั้นยังคงดีอยู่ แม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมอาจดูไม่เอื้อต่อการดำเนินงานมากนัก

ขณะเดียวกันยังได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่ลดลงต่อเนื่อง รวมถึงผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยตามที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติโยกย้ายเงินเพื่อการลงทุนมากขึ้น รวมทั้งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยด้วย โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์และพลังงานที่เป็นกลุ่มที่มีผลต่อการขึ้นลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยมาก หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของมูลค่าตลาดรวมทั้งหมด

"ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะบวกให้เห็นได้อีก 2-3 วันต่อเนื่อง เพราะเป็นลักษณะการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ โดยให้แนวรับที่ 695 จุด และให้แนวต้านที่ 705-710 จุด แต่เชื่อว่าคงเป็นไปได้ยากที่ดัชนีจะทะลุ 710 จุด หรือต่ำสุดลงไม่เกิน 617 จุด"

นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ไซรัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นปิดสูงกว่า 705 จุด เป็นไปตามเทคนิค หลังจากปรับลดลงต่อเนื่องมาหลายวัน และปรับฐานจากที่เคยลงไปที่ 680 จุด บวกกับแรงซื้อของต่างชาติที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจุดสำคัญคือมีการลงทุนทั้งในหุ้นและตลาดฟิวเจอร์ จากปกติจะมีลักษณะที่สวนทางกัน คือ หากซื้อหุ้นแล้วจะมีการขายฟิวเจอร์ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังเป็นผลจากแรงเก็งกำไรในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดี เพราะผลงานไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนของไทยยังดี และการเมืองไม่มีความรุนแรง ขณะที่ราคาน้ำมันก็ปรับลดลงต่อเนื่อง ถือเป็นข่าวดีสำหรับตลาดหุ้นไทยอยู่แล้ว รวมทั้งตลาดหุ้นโดยรวม อย่าง ดาวโจนส์ ก็มีแรงบวกต่อเนื่อง เพราะแม้สหรัฐฯ จะมีปัญหาซับไพรม์ แต่เป็นเรื่องเดิมที่รับข่าวไปแล้ว ทั้งตัวเลขเอ็นพีแอล และดอกเบี้ย พร้อมกันนี้ ได้แนะนำลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นการเข้าลงทุนระยะสั้น โดยให้แนวต้านที่รอบใหม่ที่ 715-720 จุด แต่ถ้าต้องการให้ผ่านระดับ 720 จุด ต้องมีแรงซื้อขายในหุ้นกลุ่มพลังงานร่วมด้วย

ประสานเสียงครึ่งปีหลังหุ้นฟื้น

นายสุชีล นารูลา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 4-5 เดือนนับจากนี้ หลังจากไม่มีปัจจัยลบเข้ามากระทบและการที่ปัญหาในสหรัฐฯ เริ่มทรงตัว อัตราเงินเฟ้อปรับตัวลดลง และอัตราดอกเบี้ยไม่เร่งปรับตัวเพิ่มขึ้น และแรงขายของนักลงทุนต่างชาติเริ่มชะลอตัวจากที่มีการขายออกไปประมาณ 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐแล้ว โดยการยืมหุ้นมาซอต และจะกลับเข้ามาซื้อคืน

ด้าน ปัจจัยในประเทศ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศในช่วงดังกล่าว ยังไม่มีความขัดแย้งและความรุนแรง และคาดว่าเงินเฟ้อได้รับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดไปแล้ว และจะเริ่มปรับตัวลดลงตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป ขณะที่อัตราดอกเบี้ยใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้ว รวมทั้งนักลงทุนยังคาดหวังรัฐบาลจะใช้มาตรการลดภาษีนิติบุคคลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย

ทั้งนี้ หากนักลงทุนต้องการลงทุนในตลาดหุ้น แนะนำซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานดี ในอุตสาหกรรมที่สามารถปรับราคาสินค้าขึ้นไปได้ เพราะจะได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อน้อย แม้เงินเฟ้อทั่วไปจะเริ่มลดลงแต่ในเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนผู้ประกอบการ โดยแนะนำ กลุ่มธนาคาร สื่อสาร บันเทิงโรงแรมและโรงพยาบาล

นายสาธิต วรรณาศิลปิน กรรมการผู้จัดการ บล. นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า ในช่วงนี้ภาวะตลาดอยู่ในช่วงหุ้นขาลงหรือภาวะหมี (แบร์มาร์เก็ต) เพราะมีแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ และส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนของนักลงทุนรายย่อยที่จะมีแรงซื้อเข้ามามากว่านักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนต่างชาติ โดยในช่วงไตรมาส 4 นี้ ตลาดหุ้นไทยน่าจะฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มคลี่คลายและมีความชัดเจน รวมถึงเศรษฐกิจน่าจะปรับตัวดีขึ้น

นายศิริพงษ์ สุทธาโรจน์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล. ซิกโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ก่อนหน้าที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลงสอดคล้องกับตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งเกิดจากการขายของนักลงทุนต่างชาติ โดยในช่วงครึ่งปีแรกนักลงทุนส่วนใหญ่จะโยกไปลงทุนในตลาดทางเลือกใหม่ (Alternative Market) เช่น ตลาดโภคภัณฑ์ (Commodity) และน้ำมัน แต่ในช่วงครึ่งปีหลังเชื่อว่าตลาดดังกล่าวอาจไม่น่าดึงดูดใจเท่ากับช่วงแรก ซึ่งสังเกตได้จากการที่ราคาน้ำมันปรับลดลง โดยนักลงทุนอาจจะโยกกลับมาลงทุนในตลาดหุ้น และพันธบัตรแทน   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us