Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน8 สิงหาคม 2551
'ENGY'เหนือจอง1.25%             
 


   
search resources

โชติกา สวนานนท์
Funds




กองทุน ENGY ประเดิมเทรดไม่สวย เพิ่มขึ้นเล็กน้อยแค่ 1.25% แม้ภาพรวมกระดานหุ้นเขียวสะพัด ดัชนีบวกเพิ่มถึง 29 จุด 'โชติกา'มั่นใจระยะยาวจะให้ผลตอบเเทนที่ดี ล่าสุดเตรียมโรดโชว์ดึงนักลงทุนสถาบันเข้ามาลงทุนเพิ่ม พร้อมเสนอเเก้กฏก.ล.ต. ในเรื่องการจดทะเบียนกองทุนเพื่อลดความเสี่ยงช่วงรอเวลาเทรด และการเเก้ ไขพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯเพื่อเปิดทาง บลจ.เข้าซื้อหนวยลงทุนของกองทุนได้

นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด กล่าวถึงการแก้ไขกฎของสำหนักงานคณะกรรมการหลักทรัพย์เเละตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่า อยากให้ก.ล.ต.เเก้ไขวิธีการจดทะเบียนกองทุน ETF เพราะวัตถุประสงค์ของETF ไม่เหมือนกับ กองทุนธรรมดาทั่วไป คือกองทุน ETF ต้องการเข้าไปลงทุนหุ้น ซึ่งผู้ถือหน่วยเเละนักลงทุนอยากจะซื้อขายก็ต่อเมื่อเห็นราคาตลาด โดยทำให้นักลงทุนที่ซื้อหน่วยลงทุนในช่วง ไอพีโอ ได้รับความเสี่ยงในช่วงที่กองทุนจะเข้าไปจดทะเบียนซื้อขายภายในตลาดหลักทรัพย์ เพราะหลังจากปิดไอพีโอก็ไม่ยังไม่สามารถเอากองทุนเข้าไปจดทะเบียนเเล้วเทรดทันที่ไม่ได้ อีกทั้งต้องรอกองทรัพย์สินตรวจสอบหุ้น ซึ่งต้องใช้เวลาอีกหลายวันหรือT+3 ในการดำเนินงานกว่าจะเอากองหุ้นไปจดทะเบียนในกองทรัพย์สิน ในขณะที่ต่างประเทศ เช่นอเมริกานั้น อนุญาตให้บลจ.หาสปอนเซอร์หรือนำเงินของบลจ.ไปจดทะเบียนในตลาดก่อน เเละมีการเปิดไอพีโอ1 วัน หลังจากนั้นก็สามารถเทรดหรือทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ทันที ซึ่งขั้นตอนนี้ช่วนลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในช่วงรอการจดทะเบียนของกองทุน ETF

ส่วนที่สอง คืออยากให้เเก้ไข เป็นพระราชบัญญติ (พ.ร.บ)หลักทรัพย์เเละตลาดหลักทรัพย์ เรื่องการลงทุนของกองทุน ในข้อที่ห้ามให้บลจ..ซื้อหน่วยลงทุนภายใต้การดูเเลของบลจ. อย่างเช่นกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เนื่องจากกองทุน RMF เป็นกองทุนที่ลงทุนระยะยาว ทางเราก็อยากที่จะลงทุนกองทุน MTrack Energy ETF ของเราก็ทำไม่ได้เนื่องจากกฎของกลต.ทำให้เราลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานได้เพียงไม่กี่ตัว เมื่อเทียบกับการซื้อ MTrack Energy ETF ที่ซื้อกองทุนนี้เพียงกองเดียวเเต่สามารถลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานได้หลายตัว

“ENGY” เทรดวันเเรก'

นางโชติกา กล่าวว่า วานนี้ (7 ส.ค.)เป็นวันเเรกที่กองทุน MTrack Energy ETF เข้าสู่การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เเห่งประเทศไทย โดยมีมูลค่าโครงการอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท มีหน่ายลงทุน 730 ล้านหน่วย มูลค่าที่ตราไว้คือหน่วยละ 4.11 บาท โดยราคาเปิดตลาดในช่วงเช้าอยู่ที่ 3.98 บาท ซึ่งเราได้ประมาณผลตอบเเทนของกองทุนดังกล่าวไว้ที่ 4% ต่อปี ซึ่งเราจะพยายามจ่ายปันผลทุกไตรมาส ซึ่งตอนนี้นักลงทุนรายย่อยเข้ามาถือหน่วยลงทุนภายในกองทุนแล้วประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 2,000 ล้านบาทจะเป็นตลาดหลักทรัพย์และบล.ภัทร เนื่องจากสิ่งที่ทำให้นักลงทุนสถาบันมีความเขื่อมั่นต่อการเข้ามาลงทุน ENGY คือ ขนาดกองทุน และสภาพคล่องของกองทุน แต่สิ่งที่เราให้ความสำคัญมากที่สุด ตอนนี้คือสภาพคล่องของกองทุน เพราะถ้าสภาพคล่องของกองทุนมีมาก ก็จะทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนมากขึ้น หลังจากนั้นขนาดของกองทุนก็จะเติบโตขึ้นอีก

“สภาพคล่องที่นักลงทุนสถาบันต้องการนั้น ก็จะขึ้นอยู่กับพอร์ตที่มีนั้นค่อนข้างใหญ่หรือไม่ และเขา ก็ต้องดูก่อนอีกว่าเวลาซื้อหรือขายกองทุนเราจะมีสภาพคล่องขนาดไหน ไม่เช่นนั้นทางนักลงทุนสถาบันเลือกเข้าไปซื้อหุ้นจะดีกว่า และสิ่งที่บลจ.ทหารไทยต้องทำร่วมกับบล.ภัทรคือต้องทำสภาพคล่องภายในกองทุนให้ดี ไม่ใช่เพียงแต่มุ่งทำกำไรเป็นอย่างเดียว ”

นางโชติกา กล่าวอีกว่า สำหรับนักลงทุนสถาบันที่จะเข้ามาซื้อหน่วยลงทุน น่าจะเป็นกลุ่มประกัน กองทุนบำเน็จบำนาญราชการ(กบข.) สำนักงานประกันสังคม (ปกส.) กองทุนส่วนบุคคล และกลุ่มประกัน เพราะข้อดีของกองทุน “ENGY” มีข้อดีตรงที่ซื้อหน่วยลงทุนกองทุนเดียว แต่สามารถลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่และสภาพคล่องสูง เช่น ปตท ปตท.สผ และบ้านปู โดยสัดส่วนที่ลงทุน ณ วันนี้คือ ลงทุนในปตท. 40% และปตท.สผ.20% ส่วนที่เหลืออีก 40% ก็จะกระจายอยู่ในหุ้นหมวดพลังงานเช่นกัน และตอนนี้ทางบลจ.เตรียมทำโรดโชว์เพื่อให้ความรู้เเก่นักลงทุนเกี่ยวกับกองทุนดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายย่อยเเละนักลงทุนสถาบันอีกด้วย

นอกจากนี้ ทางเราก็ยังสนใจกองทุนที่จะอิงกับดัชนีราคาหลักทรัพย์หมวดธนาคารพาณิชย์ เพราะเป็นกลุ่มอุตสหกรรมที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 เเละที่สำคัญมีสภาพคล่องค่อนข้างสูง ส่วนตัวอื่นอย่าง บิ๊กเเคปหรือสมอร์เเคปของSEt Index เเละSet 50 นั้นก็มีความสนใจเช่นกัน เเต่หากเป็น FSTHL นั้นอาจติดปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายที่นักลงทุนต้องรับภาระ

ขณะเดียวกัน นายสุวิทย์ มาไพศาลสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ภัทร จำกัด (มหาชน)หรือ PHATRA ในฐานผู้ร่วมค้าหน่วยการลงทุน อีทีเอฟหุ้นพลังงาน กล่าวว่า การที่ราคาน้ำมันมีการปรับตัวลดลงนั้นทำให้นักลงทุนมีการขายหุ้นกลุ่มดังกล่าวทำให้ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการซื้อขายวันแรกทำให้ราคาหุ้นอีทีเอฟพลังงานปรับตัวลดลง จากแรงขายทำกำไรระยะสั้น

ทั้งนี้หากพิจารณาในเรื่องปริมาณการซื้อขายถือว่าอยู่ในระดับที่ดีมีสภาพคล่อง แต่บริษัทยังคงแนะนำการลงทุนในอีทีเอฟพลังงาน ในระยะกลางและยาวจากหุ้นกลุ่มดังกล่าวเพราะมีศักยภาพการเติบโต รวมถึงมีความสำคัญต่อพื้นฐานเศรษฐกิจของไทย และผลประกอบการหุ้นกลุ่มดังกล่าวก็ออกมาดี เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)หรือ PTT บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)หรือ PTTEP ฯลฯซึ่งจะมีการสะท้อนกลับมาให้กองทุนอีทีเอฟพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ส่วนภาวะตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ที่ผ่านมาซึ่งนักลงทุนต่างชาติได้กลับเข้ามาซื้อสุทธินั้นขนาดนี้ไม่สามารถตอบได้ว่า นักลงทุนต่างชาติจะหยุดขายหุ้นไทยเพื่อกลับเข้ามาซื้อสุทธิเมื่อใด เพราะที่ผ่านมาจากการที่ต่างชาติได้มีการปรับพอร์ต ซึ่งส่วนใหญ่จะมีหุ้นกลุ่มพลังงานเก็บสะสมไว้ในพอร์ตมากจึงทำให้หุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวลดลง นั่นเอง

สำหรับภาวะการซื้อวันแรกของ "ENGY" วานนี้ (7ส.ค.) ช่วงเช้าที่เริ่มทำการซื้อขายกองทุนมีราคาเปิดที่ 3.96 บาท ปรับลดลง 0.1488 บาท หรือ 3.62% จากราคาไอพีโอ 4.1088 บาท ซึ่งระหว่างวันราคาหน่วยลงทุนปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาปรับตัวสูงสุดที่ 4.17 บาท ต่ำสุด 3.95 บาท และปิดตลาดที่ 4.16 บาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 0.0512 บาท หรือ 1.25% มูลค่าการซื้อขาย 49.84 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯปิดที่ 705.35 จุด เพิ่มขึ้น 29.00 จุด หรือ 4.29% มูลค่าการซื้อขาย 27,148.71 ล้านบาท   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us