ภาคเอกชนหวั่น FTA-อาเซียนทำธุรกิจในประเทศเจ๊ง.! เหตุคู่แข่งในอาเซียนแข็งแกร่งมากขึ้น ชี้ 3 ภาคธุรกิจต้องปรับตัวด่วน ด้านกลุ่มรถยนต์ยืนเป้าหมายเดิม Detroit of Asia พร้อมฉวยโอกาสดึงนักลงทุนเกาหลีเข้าไทย ขณะที่ “ภาคเกษตร” อ่วมสุดหลายเซกเตอร์เป็นรองต้องปรับขบวนขนานใหญ่ ส่วนท่องเที่ยวต้องยกระดับเป็น “ศูนย์กลาง”แห่งภูมิภาคก่อนเชื่อมสู่ประตูเพื่อนบ้าน ทั้งพัฒนาด้านบุคลากร-ภาษาที่ยังเป็นรอง
ต้องยอมรับว่าการค้าเสรีระหว่างประเทศคู่ค้าหรือ FTA กำลังเดินหน้าตามกรอบสมมุติฐานที่ควรจะเป็นคือทุกฝ่ายวิน-วิน ไม่ว่าจะเป็นไทย-ญี่ปุ่น, ไทย-ออสเตรเลีย,ไทย-อินเดีย เป็นต้นทำให้การค้าขาย-ส่งออกระหว่างประเทศคู่ค้ามีมูลค่าสูงมากขึ้นตามลำดับ ขณะเดียวกันประเทศคู่ค้าที่เศรษฐกิจใหญ่กว่า อย่างเกาหลี , ญี่ปุ่น ,จีน ก็พยายามจะเปิดเสรีการค้าในระดับที่ใหญ่กว่าเดิมคือในระดับอาเซียนกับประเทศนั้นๆ ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นปัญหาต่อผู้ประกอบการไทย เพราะไทยคือหนึ่งในสมาชิกอาเซียนที่กำลังจะพัฒนาไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Econcmic Community หรือ AEC) ภายในปี 2558
โดยหากประเทศใหญ่ๆที่กล่าวมาสามารถบรรลุข้อตกลงกับอาเซียนได้ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในบางเซกเตอร์ที่ต้องแข่งขันกันเองภายในอาเซียน และทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องวางแผนธุรกิจเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเพื่อให้อยู่รอดได้ มีสิ่งไหนบ้างที่ไหนต้องปรับตัวเพื่อรับมือ และธุรกิจประเทศใดที่ต้องปรับตัวอย่างหนักในการแข่งขันระดับโลก
Detroit of Asia ไม่กระทบ
อรุณ เหล่าวัฒนกุล รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกล่าวถึง ทิศทางการพัฒนาและปรับตัวภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ภายใต้กรอบการค้าเสรีอาเซียนกับคู่เจรจาใหม่ว่า เป้าหมายของไทยยังชัดเจนว่า ต้องการเป็นดีทรอยส์ออฟแห่งเอเชีย (Detroit of Asia) เหมือนเดิมถึงแม้จะมีการเปิดการค้าเสรีระหว่างอาเซียนกับญี่ปุ่นก็ตาม แต่ข้อตกลง JTEPA ไทย-ญี่ปุ่นยังเป็นจุดดึงดูดนักลงทุนส่วนใหญ่จากญี่ปุ่นอยู่ดี แม้ญี่ปุ่นจะมองภาพรวมว่าจะใช้อาเซียนเป็นฐานการผลิตใหญ่ก็ตาม
ขณะที่นักลงทุนจากเกาหลีก่อนการเกิดวิกฤตฟองสบู่จะเห็นว่ามีค่ายรถยนต์เกาหลีค่อนข้างคึกคักและทำท่าว่าลงทุนจำนวนมากแต่พอเกิดวิกฤตดังกล่าวนักลงทุนจากเกาหลี กลับย้ายฐานออกไปจนไม่เหลือในประเทศไทย จะมีก็เพียงบางค่ายที่จ้างประกอบรถยนต์แทนเท่านั้นตรงนี้น่าเสียดายมาก
หวัง “เกาหลี” ลงทุนในไทย
ปัจจุบันค่ายรถยนต์จากเกาหลีหันไปลงทุนในประเทศมาเลเซียแทน ส่งผลให้ไทยเสียโอกาสตรงนี้ หากข้อตกลงระหว่างอาเซียนกับเกาหลีบรรลุผลไทยน่าจะเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งในการลงทุนไม่ใช่มองเพียงแค่มาเลเซียเพียงอย่างเดียว ดังนั้นการที่ไทยจะมีการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์อย่างยั่งยืนนั้นจะต้องมีนโยบายที่ชัดเจน
รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ สภาอุตฯ ย้ำว่าการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้ต้องมีองค์ประกอบหรือนโยบายที่ชัดเจนดังนี้
1.การรักษาฐานการผลิตในประเทศ
2.รักษาความเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ในระดับอาเซียน
3.เพิ่มความสามารถในการแข่งขันโดยภาครัฐออก นโยบายมาสนับสนุนของภาคเอกชน, การปฏิบัติของภาครัฐและการปฏิบัติของภาคเอกชน
อนาคต‘1โลก-1กม.-1มาตรฐาน’จึงอยู่รอด
นอกจากนี้แล้วยังมีภาคอุตสาหกรรมเกษตรที่แต่ละประเทศอาเซียนแข่งขันกันเองในตลาดโลกหากการค้าเสรีอาเซียนบรรลุผลไทยต้องปรับตัวไปในทิศทางใด “พรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล” รองเลขาธิการสภาหอการค้าไทย (ภาคการเกษตร) กล่าวถึงสิ่งที่นักธุรกิจไทยหรือผู้ประกอบการภาคการเกษตรต้องปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ว่า ในอนาคตตลาดของไทยคือตลาดโลกเพราะต่อไป ‘1โลก 1กฎหมาย 1 มาตรฐาน’ และตลาดเป็นหนึ่งเดียวกันทำให้มาตรฐานสินค้าระดับโลกกำลังไล่ล่ามาตรฐานเอกชนไทย หากคุณไม่สามารถปรับตัวได้ก็อยู่ไม่ได้เพราะต่อไปตลาดโลกจะมีมาตรฐานเดียวกัน โดยสิ่งนี้จะพิสูจน์ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในอนาคต
ที่ผ่านมาที่น่าห่วงมากคือผู้ประกอบการไทยยังไม่เปลี่ยนโครงสร้างในการผลิตและลงทุนเพราะยังบริหารงานแบบเก่าไม่มีการสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้า และไม่กล้าจะตัดสินใจลงทุนการผลิตแบบใหม่ๆตรงนี้จะทำให้ผู้ประกอบการไทยสู้ต่างชาติไม่ได้
“ในปี 2015 ตลาดในอาเซียนจะเสรีภาษีระหว่างกันจะเหลือ 0% ทุกประเทศจะเข้าถึงวัตถุดิบของอีกประเทศ ผู้ประกอบการจะอยู่ไม่ได้แน่นอนเราถึงต้องปรับตัวเพื่อรับมือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต” รองเลขาธิการสภาหอการค้าไทยระบุ
สินค้าเกษตรที่ไทยเสียเปรียบ
อย่างไรก็ดีหากเปรียบเทียบศักยภาพในการส่งออกสินค้าภาคการเกษตรในแต่ละเซกเตอร์กับประเทศสมาชิกในอาเซียนด้วยกันจะพบว่า 1.ส่งออกไปตลาดญี่ปุ่นไทยยังเป็นรองอยู่หลายชนิดเช่น พริกไท ,กุ้ง/ปูสดและแช่เย็น อบเชย แป้งสาลี น้ำมันในถั่วเหลือง กล้วยสด ไขมัน/น้ำมันสัตว์ น้ำแร่/นำอัดลม สุรา/ไวน์ และน้ำมันปาล์ม
2.ส่งออกไปตลาดเกาหลีที่ไทยยังเป็นรองได้แก่ ปลาสดทั้งตัว/แช่เย็น-แช่แข็ง เนื้อปลาฟิเล่สด-แช่เย็น ปลารมควัน/อบแห้ง สัตว์เปลือกแข็ง/สด/แช่เย็น กล้วย ลูกนัด อินทผลัม เมลล่อน และแป้งสาลี
3.ส่งออกไปออสเตรเลียที่ไทยยังเป็นรองอาทิ เครื่องเทศ ธัญพืช ไขมัน/น้ำมันสัตว์ น้ำมันถั่งเหลือง น้ำมันปาล์ม น้ำตาลจากอ้อย/หัวบีต ขนมที่ทำจากน้ำตาล น้ำแร่/น้ำอัดลม น้ำสมสายชู ขนมขบเคี้ยว และ เบเกอร์รี่ และสุดท้าย
4. ส่งออกไปยังตลาดนิวซีแลนด์ที่สินค้าไทยยังเป็นรอง ปลาทั้งตัว/สด-แช่แข็ง ปลารมควัน กล้วยสด อินผลัม และเมลล่อน เป็นต้น
“หากผู้ประกอบการไทยต้องการอยู่รอดให้ได้ตามสินค้าที่ว่ามาต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการต้องลงทุนในการผลิตแบบใหม่ๆต่อไปตลาดของไทยคือตลาดโลก ทำไมเราต้องวิ่งตามโลก เราต้องทำให้โลกวิ่งตามเราให้ได้ภายใต้กรอบการการค้าเสรีทั้งหมด” พรศิลป์ ถึงทิศทางการพัฒนาสินค้าเกษตรของไทย
ธุรกิจ SMEs อยู่ลำบาก
นอกจากสินค้าภาคการเกษตรแล้วยังมีอีกภาคบริการที่ไทยอาจจะเพลี่ยงพล้ำคู่แข่งในละแวกอาเซียนได้แม้การท่องเที่ยวและบริการของไทยจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าเพื่อนบ้านก็ตาม แต่ชะล่าใจไม่ได้เช่นเดียวกันและหากภาคการท่องเที่ยวและบริการเปิดเสรีขึ้นมาจริงๆไทยควรจะปรับตัวไปในทิศทางใด “จารุบุณณ์ ปาณานนท์” ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) อธิบายถึงทิศทางการปรับตัวภาคการท่องเที่ยวและบริการของไทยภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีว่า ต้องยอมรับว่ามูลค่าการท่องเที่ยวและการบริการของไทยสูงถึงปีละ 300,000 ล้าน/ปีสามารถทำกำไรให้กับประเทศได้อย่างเป็นกอบเป็นกำในช่วงหลายปีที่ผ่านมาซึ่งหากเปิดการค้าเสรีระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาใหม่ๆอาทิ เกาหลี ญี่ปุ่น จีน การไหลเวียนของนักท่องเที่ยวระหว่างกันจะมีมากขึ้น
โดยสิ่งที่ผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวห่วงคือการปรับตัวของผู้ประกอบการขนาดเล็กหรือ SMEs ที่อาจจะอยู่ลำบากหากช่วงนั้นมาถึงเพราะเงินลงทุนจะไหลเข้ามาภาคท่องเที่ยวและบริการมหาศาลอย่างแน่นอน ผู้ประกอบการขนาดเล็กจะอยู่ลำบากมากขึ้นทั้ง ส่วนผู้ประกอบการขนาดใหญ่สามารถอยู่รอดได้อยู่แล้วไม่น่าจะมีปัญหา
ดันไทยสู่ “ศูนย์กลาง” ท่องเที่ยวอาเซียน
ทว่าสิ่งที่ผู้ประกอบการไทยต้องมองต่อไปคือต้องทำให้ไทยเป็นจุดศูนย์กลางหรือเป้าหมายการเดินทางในภูมิภาคอาเซียนแล้วค่อยเดินทางต่อไปในประเทศอื่นๆ ซึ่งโครงการดังกล่าวเคยทำมาแล้วและได้ผลเป็นอย่างดี หากสามารถสร้างเครือข่ายท่องเที่ยวในกลุ่มอาเซียนภายหลังเปิดการค้าเสรีระหว่างกันได้จะทำให้เกิดการไหลเวียนนักท่องเที่ยวไปตามประเทศต่างๆได้โดยมีไทยเป็นเป้าหมายแรกในการเดินทาง
“มาตรฐานการบริการ ภาษา เทคโนโลยีต้องพัฒนากว่านี้นักท่องเที่ยวต้องได้รับบริการอย่างดีที่สุดเพื่อสร้างความพึงพอใจในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านภาษาที่บุคลากรด้านท่องเที่ยวของไทยยังด้อยกว่าประเทศอื่นอยู่มาก” ผู้ทรงคุณวุฒิ ส.อ.ท.ระบุ
ไม่เพียงแต่ภาคเอกชนเท่านั้นที่ต้องปรับตัวแต่ภาครัฐโดยเฉพาะกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ต้องส่งเสริมทำตลาดควบคู่กันด้วย โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวตามท้องถิ่นต่างๆทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาไปตามภูมิภาคต่างๆของประเทศ ซึ่งการสนับสนุนดังกล่าวอาจจะเป็นการให้กู้ยืมเพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว หรือ พัฒนาสถานที่ประกอบการก็ได้ เพราะผู้ประกอบการรายเล็กไม่มีเงินทุนที่จะปรับปรุงกิจการของตัวเองได้
สุดท้ายความร่วมมือในประชาคมอาเซียน (AEC) ที่พยายามผลักดันมาตลอดจะต้องก้าวผ่านไปให้ได้ เพราะข้อจำกัดของอาเซียนยังมีอยู่มาก อาทิ การไม่เป็นหนึ่งเดียวกันของสมาชิก , ความยืดหยุ่นของอาเซียนทำให้ไม่มีอุดมการณ์ที่แน่นอน, การไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงของอาเซียน และจุดอ่อนที่สุดคือบทลงโทษสมาชิกหากผิดข้อตกลงซึ่งไม่เคยมีมา คงต้องจับตาดูต่อไปว่า การค้าเสรีระหว่างอาเซียนกับคู่เจรจาจะเกิดได้จริงแค่ไหน แต่การเตรียมตัวไว้ก็ทำให้เราอุ่นใจได้ว่า ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรภาคธุรกิจพร้อมรับทุกสถานการณ์
|