|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ตลาดหุ้นไทย ประเดิมครึ่งปีหลังด้วยบรรยากาศซบเซา เดือน ก.ค. วอลุ่มเฉลี่ยลดเหลือแค่ 1.2 หมื่นล้านบาท ต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นปี 51 และต่ำกว่าเดือน ก.ค. ปี 50 ที่มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยสูงกว่า 3.1 หมื่นล้านบาท ขณะที่ดัชนีลดลง 92 จุด หรือ 12% และนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเฉียด 3.6 หมื่นล้านบาท ด้านนักวิเคราะห์ คาดการณ์สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นผันผวน แนะเก็งกำไรระยะสั้น-ถือเงินสด 75%
ภาวะการลงทุนตลาดหุ้นไทยในรอบเดือนกรกฎาคม 51 ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางบรรยากาศที่ค่อนข้างซบเซา คือมีปริมาณการซื้อขายเข้ามาอย่างเบาบาง เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับหลากหลายปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เป็นแรงกดดันตลาดหุ้นไทย รวมทั้งนักลงทุนต่างชะลอการลงทุนเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ นักลงทุนได้ให้น้ำหนักกับปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องของปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ที่เริ่มปะทุรอบใหม่ และส่งผลต่อสถาบันการเงินและเศรษฐกิจสหรัฐฯ และขยายสู่ทั่วโลก รวมถึงปัญหาเรื่องอัตราเงินที่ที่สูงขึ้น จากราคาน้ำมั่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แม้จะเริ่มลดลงบ้างในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา
ด้านปัจจัยในประเทศนั้น มีประเด็นลบใหม่ที่เข้ามากระทบ คือ เรื่องของรัฐบาลที่ออกมาประกาศเดินหน้าในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขณะที่ปมความขัดแย้งเดิมๆ เองก็ยังไม่คลี่คลายทั้งในเรื่องของการชุมนุมต่อต้านของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือความขัดแย้งเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร รวมถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น และปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขจากรัฐบาลแต่อย่างใด
ผู้จัดการรายวัน ได้สำรวจความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนกรกฎาคม 51 พบว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นเดือนได้ปรับตัวลดลงจากสิ้นเดือนมิถุนายน 51 ที่ระดับ 768.59 จุด มาอยู่ที่ 676.32 จุด ลดลงกว่า 92.27 จุด คิดเป็นอัตราส่วน 12.01% นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิรวม 35,855.22 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ต้นปีสูงถึง 86,194.77 ล้านบาท
ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 12,680.89 ล้านบาท ซึ่งต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันตั้งแต่ต้นปี 51 ที่ผ่านมา และต่ำกว่าเดือนเดียวกันของปี 50 ที่มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยสูงถึงวันละ 31,829.16 ล้านบาท
นางสาววิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้จะยังคงแกว่งตัวผันผวน แต่จะมีแรงเก็งกำไรเรื่องผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนกลุ่มต่างๆ ทยอยประกาศออกมา
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยยังจะได้รับแรงบวกจากกรณีที่ผู้บริหารบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT มีแผนที่จะมีการซื้อหุ้นคืน หลังจากราคาหุ้นร่วงต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน รวมถึงการประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ในอัตราหุ้นละ 2.86 บาท
"เงินปันผล PTTEP ดังกล่าวสูงกว่าประมาณการที่คาดไว้ที่หุ้นละ 2.20 บาท ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนหุ้นกลุ่มปตท.มากขึ้น รวมทั้งคาดการณ์ว่าปตท. เองจะมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 5 บาท หรือมากกว่า ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรในช่วงสั้นๆ เช่นเดียวกัน"
ส่วนปัจจัยด้านการเมืองนั้น การประกาศรายชื่อการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) น่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยได้บ้างเล็กน้อย แต่การประกาศเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลจะเป็นปัจจัยลบสำคัญเข้ามากระทบต่อตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องติดตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ และราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 660-690 จุด ซึ่งบริษัทแนะนำนักลงทุนให้ลงทุนในหุ้น 25% และถือครองเงินสด 75% และสามารถเข้าเก็งกำไรผลประกอบการบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP และบริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน)หรือ PTTCH
นางสาวจิติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายที่ปรึกษาการลงทุน บล. ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวน แต่หากจะปรับตัวเพิ่มขึ้นก็คงไม่มากนัก เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศยังไม่มีสัญญาณจะกลับเข้ามาซื้อสุทธิ แม้จะยอดขายสุทธิจะทยอยลดลงบ้างแล้ว ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาสถาบันการเงิน และภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัว ขณะที่การเมืองในประเทศยังไม่มีความชัดเจน จึงยังไม่มีปัจจัยที่จะเข้ามาตระตุ้นให้ดัชนีตลาดหุ้นฟื้นตัว
ทั้งนี้ นักลงทุนต้องติดตามการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะมีการประชุมในวันที่ 5 สิงหาคม 2551 ซึ่งบริษัทคาดว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงอ่อนแอ และอัตราเงินเฟ้อยังไม่น่ากังวลที่จะต้องมีการรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ด้านปัจจัยในประเทศนั้น การประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรี และมาตรการกระตุ้น 6 เดือนของภาครัฐ จะช่วยทำให้อัตราเงินเฟ้อประจำเดือนสิงหาคม 51 ปรับตัวลดลงจากเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาที่อยู่ 9.2% ซึ่งต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาดจึงเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ตลาดหุ้นในวันศุกร์ที่ผ่านมาในช่วงบ่ายปรับตัวเพิ่มขึ้นได้
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบ 660-690 จุด โดยแนะนำนักลงทุนซื้อขายหุ้นระยะสั้น เพราะขณะนี้ยังไม่มีปัจจัยบวกที่จะเข้ามากระตุ้นบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนัก
|
|
 |
|
|