Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤศจิกายน 2534








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤศจิกายน 2534
นำเข้าเสรีทองคำหัวเราะไม่ออกร้องให้ไม่ได้ของพ่อค้ารายย่อย             
โดย ภัชราพร ช้างแก้ว
 

 
Charts & Figures

ภาษีที่ผู้นำ+ผลิตทองคำต้องจ่าย


   
search resources

ชมรมผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับมาตรฐาน
Import-Export
Jewelry and Gold




รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาการลักลอบซื้อทองคำเถื่อนด้วยการลดภาษีนำเข้าทองคำจาก 35% เหลือ 5% และประกาศยกเลิกคลังทองคำและระบบการนำเข้าแบบผ่านคลังทองคำที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพื่อที่จะเข้าสู่วิธีการนำเข้าทองคำในลักษณะที่เสรีมากขึ้นการดำเนินนโยบายครั้งนี้ไม่ได้เป็นผลดีแก่ผู้ผลิตรายย่อย เพราะยิ่งจะเพิ่มภาระต้นทุนการผลิตมากขึ้น วิธีง่าย ๆ ที่จะลดต้นทุนการผลิตของพวกเขาก็คือกลับไปสู่วัตถุดิบนอกระบบ ส่วนผู้ผลิตรายใหญ่นั้นไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ เพราะไม่ได้อยู่ในระบบนี้อยู่แล้ว

จำนวนทองคำที่ใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับซึ่งหมุนเวียนอยู่ในประเทศไทยในปี 2533 มีประมาณ 85,500 กิโลกรัมหรือ 85.5 ตันตามรายงานของ GOLD FIELDS MINERAL SERVICES LTD. ซึ่งจัดเป็นประเทศที่มีการใช้ทองคำมากเป็นอันดับ 7 ของโลก และคิดเป็น 4.3% ของปริมาณการใช้ทองคำในการทำเครื่องประดับทั้งหมดของโลก

ตัวเลขนี้เป็นปริมาณรวมของการใช้ภายในประเทศและการผลิตเพื่อการส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ ซึ่งหมายความว่าประเทศไทยมีอุปสงค์ในด้านทองคำสูงมาก

แต่ปรากฎว่าตัวเลขนำเข้าทองคำที่รัฐบาลอนุมัติมีเพียง 25 ตันหรือ 25,000 กิโลกรัมเท่านั้น

ทองประมาณ 60,000 กิโลกรัมจึงเป็นทองคำนอกระบบที่มีการลักลอบนำเข้าอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

หากจะถามว่าทำไมจึงมีการลักลอบนำเข้ากันอย่างมากมายเช่นนี้ อาจเป็นคำถามที่เชยไปเสียแล้ว

แหล่งข่าวจากบริษัทนำเข้าทองรายหนึ่งกล่าวว่า "คนที่ซื้อทองนอกระบบแต่ไหนแต่ไรก็ยังคงซื้อทองนอกระบบต่อไป โดยไม่สนใจกับการปรับปรุงมาตรการเรื่องภาษีหรือเรื่องคลังทองคำของทางการแต่อย่างใด เขาทำของเขามาอย่างนี้จนยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้"

ประเด็นเรื่องความเคยชินต่อความสะดวกในการซื้อทองคำเถื่อน ไม่ได้สำคัญไปกว่าประเด็นเรื่องโครงสร้างภาษีของรัฐบาล ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้ผู้ผลิตเครื่องประดับและอัญมณี โดยเฉพาะผู้ผลิตรายย่อยหันไปซื้อทองคำเถื่อนกันมาก

ประเกียรติ นาสิมมา กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ.จี.ดี โกลด์ ดีลเลอร์ จก.และเป็นตัวแทนของสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับเปิดเผยว่า "แม้ทางการจะลดภาษีสำหรับผู้นำเข้าทองคำลงเหลือ 0% ผมคิดว่าไม่สามารถแก้ปัญหาการลักลอบนำเข้าทองคำได้ เพราะเมื่อเปรียบเทียบการเสียภาษีของผู้ผลิตโดยผ่านช่องทางต่าง ๆ จะพบว่าถึงแม้จะเป็นผู้ผลิตเพื่อขายในประเทศและเลือกซื้อทองจากผู้นำเข้าที่จดทะเบียนผ่านคลังทองคำ ก็ยังต้องเสียภาษีการค้า 3.3% หากซื้อจากผู้นำเข้าจดทะเบียนแต่ไม่ผ่านคลังทองคำ ต้องเสียภาษีหลายอย่างรวมกันประมาณ 8.3% เพราะผู้นำเข้าต้องผลักภาระภาษีนำเข้า 5% มาให้ผู้ซื้อด้วย"

โครงการสร้างภาษีแต่เดิม คำนวณภาษีนำเข้าทองคำไว้ 35% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงอย่างมาก ๆ ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2534 ให้ลดภาษีตัวนี้ลงเหลือ 5% เท่านั้น

อันที่จริงกระทรวงการคลังมีความคิดที่จะยกเลิกไปเลย หรือคิดภาษีเป็น 0% แต่กรมศุลกากรต้องการให้คงไว้ 5%

ผู้นำเข้ารับอนุญาตผ่านคลังทองคำ ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีการประกาศยกเลิกคลังทองคำและไม่ต่ออายุให้ผู้นำเข้าเหล่านี้ สามารถนำเข้าทองคำได้ตามโควต้าที่ได้รับจากกระทรวงการคลังโดยไม่ต้องเสียภาษี

ผู้ที่เป็นผู้จ่ายภาษีคือผู้ซื้อทองคำจากคลังทองคำซึ่งตั้งอยู่ที่ธนาคารกรุงไทย สำนักงานใหญ่ไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อที่เป็นผู้ผลิตรายย่อย, รายใหญ่, ผลิตเพื่อส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ ต่างมีอัตราภาษีที่ต้องจ่ายอย่างไม่เท่าเทียมกัน

สำหรับผู้ที่ซื้อทองคำผ่านคลังทองคำ ในกรณีของผู้ผลิตเพื่อส่งออกไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า 5% ส่วนผู้ผลิตในประเทศต้องเสียภาษีนำเข้า 5% นี้แล้วยังมีภาษีการค้าอีก 3.3% รวมแล้วประมาณ 8.3%

ภาษีการค้าตัวนี้จะถูกหักเก็บ ณ ที่จ่าย คือที่คลังทองคำ ธนาคารกรุงไทย

หมายความว่าผู้นำเข้ารับอนุญาต 3 รายที่คลังทองคำจะเป็นผู้เก็บภาษีตัวนี้ เมื่อลูกค้าต้องการ QUOTE ราคาทองจะมีให้ 2 ราคา คือราคาสำหรับผู้ผลิตเพื่อส่งออกซึ่งไม่มีภาษีทั้งนำเข้าและการค้าและผู้ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศซึ่งจะบวกภาษีการค้าเข้าไปด้วย

ภาษีการค้าที่ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศต้องเสีย 3.3% นี้คิดเป็นมูลค่ารวม 9,000-10,000 กว่าบาทแล้วแต่ราคาทองคำแท่งในแต่ละช่วงเวลา

ภาษีการค้าตัวนี้ในปีหน้าเมื่อมีการใช้ภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องเสียในอัตรา 7% แทนที่จะเป็น 3.3%

เท่ากับว่าปีหน้าผู้ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศต้องเสียภาษีเพิ่มเป็น 12%

ภาษีมูลค่าเพิ่มตัวนี้ผู้ผลิตสามารถขอคืนได้ โดยผู้ที่จะมารับภาระแทนคือผู้บริโภคเท่ากับผู้ผลิตฯ จะเสียแต่การขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มตัวนี้คงเป็นเรื่องที่ยากลำบากอยู่ไม่น้อย

ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตเพื่อส่งออกหรือเพื่อจำหน่ายในประเทศต่างก็มีอัตราภาษีที่ต้องเสียอยู่ดีแต่ถ้าซื้อนอกระบบแล้ว เรื่องภาษีไม่ต้องพูดกัน

ผู้ผลิตเพื่อส่งออกต่างประเทศสามารถขอคืนภาษีได้ตามมาตรา 19 ทวิ แต่ก็มีกระบวนการที่ยุ่งยากไม่น้อย และใช้เวลานานประมาณ 1-2 เดือนเป็นอย่างช้า

ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการซื้อทองคำจากคลังทองคำของทางการ พ.ศ. 2534 ซึ่งนำมาใช้แทนระเบียบเมื่อปี 2532 นั้นมีการจำแนกผู้นำเข้าทองคำประเภทต่าง ๆ ดังนี้

กลุ่มแรก ผู้รับอนุญาตให้นำทองคำเข้ามาจำหน่ายในคลังทองคำของทางการ หมายถึงตัวแทนจากสมาคมฯ ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับทองคำ อัญมณีและเครื่องประดับซึ่งก่อน 15 ตุลาคมมีตัวแทนอยู่ 3 รายคือ บ.เอ.จี. ดี โกลด์ ดีลเลอร์ จำกัด , บริษัท โกลด์ ยูเนียน จำกัด และบริษัท พัฒนชาติ จำกัด กลุ่มนี้สามารถนำเข้าทองคำจากต่างประเทศมาขายได้หรือซื้อทองคำจากผู้รับอนุญาตฯ รายอื่นได้

แต่ตอนนี้อายุสัญญาหมดลงแล้วและกระทรวงการคลังไม่ต่อสัญญาใหักับตัวแทนจำหน่ายทั้ง 3 รายนี้อีกต่อไปและอนุญาตให้มีการจำหน่ายทองคำ ณ คลังทองคำของทางการถึงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2534 เท่านั้น

เท่ากับว่าผู้รับอนุญาตนำเข้า 3 รายนี้ไม่สามารถนำเข้าผ่านคลังทองคำได้อีกต่อไป แต่จะไม่มีผู้รับอนุญาตนำเข้าในกลุ่มนี้อีก

กลุ่มสอง ผู้ใช้ทองคำเพื่อผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกซึ่งได้รับอนุญาตให้จัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทโรงผลิตสินค้าต่อกรมศุลกากร ผู้ใช้ทองคำฯ กลุ่มนี้สามารถซื้อทองคำได้จากคลังทองคำของทางการ หรือซื้อจากต่างประเทศได้โดยตรงโดยปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทโรงผลิตสินค้าของกรมศุลกากร

กลุ่มสาม ผู้ใช้ทองคำเพื่อผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมส่งออก กลุ่มนี้ก็เช่นเดียวกับกลุ่มสอง คือสามารถซื้อทองจากต่างประเทศได้โดยตรง และให้ปฏิบัติตามข้อบังคับของพรบ.การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522

กลุ่มสี่ ผู้ใช้ทองคำเพื่อผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก ซึ่งไม่ได้จัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนฯ และไม่ได้อยู่ในเขตอุตสาหกรรมส่งออก กลุ่มนี้ค่อนข้างมีระเบียบบังคับอยู่หลายประการ คือ

- ไม่สามารถนำเข้าได้ด้วยตัวเอง

- จะต้องซื้อทองคำจากคลังทองคำของทางการ

- ต้องมีหลักประกันมาวางตามสัญญาประกันที่ทำกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

- ทองคำที่ซื้อไปจากคลังทองคำของทางการ ต้องนำไปผลิตและส่งออกให้เสร็จสิ้นภาย

ใน 6 เดือนหรือไม่เกิน 1 ปี

- ต้องคำนวณปริมาณทองคำที่ส่งออกตามสูตรของกรมศุลกากร

- ต้องแจ้งรายการการซื้อและการส่งออกต่อสำนักงานเศรษฐกิจการคลังทุก 3 เดือน

กลุ่มห้า ผู้ผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายภายในประเทศหรือผู้ใช้ทองคำเพื่อการอื่น แบ่งเป็น

ประเภทบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ซึ่งมีระเบียบคล้ายกลุ่มสี่คือไม่สามารถซื้อจากต่างประเทศได้โดยตรงให้ซื้อจากผู้รับอนุญาตนำเข้าฯ ผ่านคลังทองคำของทางการ ดดยแสดงหลักฐานหรือแจ้งวัตถุประสงค์ในการซื้อต่อผู้ขายและเจ้าหน้าที่คลังทองคำของทางการทุกครั้ง

ผู้ซื้อในกลุ่มสอง และสาม คือผู้ใช้ทองคำที่ค่อนข้างมีเงินทุนพอสมควรสามารถตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนฯ ได้หรือมีโรงงานอยู่ในเขตอุตสาหกรรมส่งออก พวกนี้จัดเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ซึ่งประมาณการว่ามีอยู่ราว 10 กว่ารายเป็นบริษัทร่วมทุนกับต่างชาติ และมักจะนำเข้าทองคำมาใช้ทำากรผลิตเองแทนที่จะซื้อจากคลังทองคำของทางการผู้ผลิตในกลุ่มนี้ได้แก่บริษัทกลุ่มบิวตี้ เจมส์ ของพรสิทธิ์ ศรีอรทัยกุล, แพรนด้าจิวเวลรี่ ของปรีดา เตียสุวรรณ, เอสเซ็กอินเตอร์เนชั่นแนล จากสหรัฐฯ, บิจูร์ ดามูร์ ของสันติ โฮ เป็นต้น กลุ่มบริษัทเหล่านี้ถือเป็นรายใหญ่ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอทุกราย

ผู้ผลิตรายใหญ่กลุ่มนี้จะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยจากแนวโน้มการยกเลิกคลังทองคำของทางการแม้วาจะไม่มีทางเลือกที่จะซื้อจากคลังทองคำฯ เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการหาวัตถุดิบ แต่โดยปกติพวกเขาก็ไม่ได้ซื้อจากแหล่งนี้อยู่แล้ว

ส่วนผู้ผลิตรายย่อยคือกลุ่มสี่ซึ่งประมาณว่ามีอยู่ 300-400 ราย และกล่าวกันว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ซื้อทองคำนอกระบบมากที่สุดเพราะปัญหาเรื่องระเบียบที่เคร่งครัดรัดกุมข้างต้น

ทั้งนี้มีการจับกุมการซื้อทองคำนอกระบบได้หลายรายในช่วงปีที่ผ่านมา ในช่วงปี 2530 มีการจังทองแท่งักลอบนำเข้าได้ 45 กิโลกรัมมูลค่า 15.93 ล้านบาท ปี 2531 จับได้ 218.40 กิโลกรัมมูลค่า 104.98 ล้านบาท และเพิ่มมากขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม 2531- มิถุนายน 2532 จับได้รวม 223.73 กิโลกรัม

กรมศุลกากรรายงานด้วยว่าสถิติการจับกุมผู้ลักลอบนำเข้าทองคำเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นอัตราสูงสุดเมื่อเทียบกับสินค้าอื่นที่มีการจับกุมได้

แรงจูงใจสำหรับผู้อาสาลักลอบนำเข้ามีอยู่ค่อนข้างสูง ผู้ลักลอบนำเข้ามาขายจะได้กำไรสูงถึงกิโลกรัมละ 200,000 - 300,000 บาท และการลักลอบเที่ยวหนึ่ง ๆ สามารถนำเข้ามาได้ประมาณ 10-20 กิโลกรัม

แม้ว่าจะมีการอนุญาตให้นำเข้าทองคำได้อย่างถูกกฎหมาย และมีการจัดตั้งคลังทองคำของทางการขึ้น ซึ่งช่วยให้โครงสร้างการซื้อขายทอคำเพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับมีลักษณะที่แน่ชัดมากขึ้นกว่าเดิม แต่มาตรการนี้ก็ไม่สามารถกำจัดการซื้อทองคำนอกระบบให้หมดสิ้นไปได้

ผู้ผลิตรายย่อยในกลุ่มสี่ต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องภาษีและสัญญาประกันด้วย ประเกียรติเล่าว่า "หากผู้ผลิตรายย่อยต้องการวัตถุดิบ 5 กิโลฯ เพื่อเอาไปทำการผลิต จะต้องเอาภาษีของทองคำ 5 กิโลฯ ไปวางแล้วเอาทองมาผลิต เมื่อส่งออก 5 กิโลฯ จึงจะขอคืนภาษีได้ ระยะการขอคืนอยู่ระหว่าง 1-2 เดือน ซึ่งผู้ผลิตคงจะรอไม่ได้เพราะการค้าต้องดำเนินไปตลอด เรื่องเงินค้ำประกันนี่เป็นปัญหามากทีเดียว"

ภาษีตัวนี้คือภาษีนำเข้า 5% ซึ่งสามารถขอคืนได้ในภายหลังแต่ใช้เวลานานและมีกระบวนการที่ยุ่งยากซับซ้อน นี่เป็นกรณีสำหรับผู้นำเข้าเพื่อใช้ทองคำเป็นวัตถุดิบในการผลิตและส่งออก

นอกจากนี้ยังมีหลักประกันตามสัญญาประกันกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลังคือหนังสือค้ำประกันจากธนาคารพาณิชย์ในวงเงิน 5% ของมูลค่าทองคำที่ผู้ผลิตรายย่อยจะซื้อจากคลังทองคำของทางการ

อารักษ์ รัตนนาม หัวหน้าแผนกคลังทองคำธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า "เดือนหนึ่ง ๆ มีผู้ผลิตรายย่อยมาซื้อทองคำจากคลังทองคำไม่ต่ำกว่า 120 รายซื้อได้รายละตั้งแต่ 1, 5, 10 และ 20 กิโลกรัมแล้วแต่ว่าจะได้รับอนุม้ติจากกระทรวงการคลังมาเป็นจำนวนเท่าไหร่"

เขายืนยันด้วยว่า "ที่ผ่านมาผู้ผลิตรายย่อยได้ใช้ประโยชน์จากการมีคลังทองคำของทางการอย่างมาก ๆ ผู้ผลิตรายใหญ่ก็มีมาซื้อบ้าง แต่เป็นจำนวนน้อยหรือบางเดือนก็ไม่มีเลยตอนนี้คลังทองคำไม่มีทองคำเหลืออยู่อีกแล้ว เพราะผู้นำเข้าทั้งสามรายต่างหมดสัญญากับกระทรวงการคลังแล้ว และกระทรวงฯ ก็ยังไม่ได้ต่ออายุให้แต่อย่างใด"

อย่างไรก็ดี ที่คลังทองคำก็มีผู้ซื้อรายใหญ่เป็นผู้ผลิตเพื่อการส่งออกที่มาซื้ออย่างสม่ำเสมอในจำนวนตั้งแต่ 10-200 กิโลกรัม ซึ่งมีอยู่ประมาณ 20 ราย

อารักษ์กล่าวว่า "ตั้งแต่ตั้งคลังทองคำมายังไม่เคยมีปัญหากับฝ่ายใดเลย ทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างราบเรียบธนาคารฯ ดำเนินการตามนโยบายของกระทรวงการคลังทุกอย่าง"

ในการประกาศยกเลิกคลังทองคำ และระบบการนำเข้าทองคำผ่านคลังทองคำของทางการนั้น กระทรวงการคลังยังไม่ได้แจ้งให้คลังทองคำที่ธนาคารกรุงไทยทราบ แม้แต่ 3 บริษัท นำเข้ารับอนุญาตก็ยังไม่ได้รับการแจ้งโดยหนังสืออย่างเป็นทางการ

แหล่งข่าวในสมาคมค้าทองคำ สมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ และสมาคมเพชรพลอยเงินทองต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า "มาตรการของกระทรวงการคลังนี้จะทำให้ผู้ผลิตรายย่อยได้รับความเดือดร้อนกระทบกระเทือนหนัก"

สมาคมฯ ทั้งสามได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเพื่อสนับสนุนให้มีระบบคลังทองคำต่อไป

ก่อนที่จะมีการเปิดให้บริษัท MOCATTA&GOLDSMID จากอังกฤษเป็นผู้รับอนุญาตนำเข้าทองคำเพียงรายเดียวเมื่อเดือนมีนาคม 2531 นั้นรัฐบาลไม่มีการอนุญาตให้นำเข้าทองคำมาเป็นเวลายาวนานถึง 8 ปี

ในช่วงนั้นอุตสาหกรรมส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับเติบโตขึ้นอย่างมาก ๆ ตั้งแต่ปี 2529 ที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 13.16 พันล้านบาทเทียบกับปี 2528 ซึ่งมีมูลค่าอยู่เพียง 8.5 พันล้านบาท เท่านั้นความต้องการในเรื่องวัตถุดิบก็เพิ่มสูงตามขึ้นไปด้วย

แต่ในเวลานั้นรัฐบาลยังไม่ได้อนุญาตให้มีการนำเข้าทองคำขณะที่ความต้องการใช้ทองคำเพื่ออุตสาหกรรมส่งออกมีสูงมาก จังหวะนี้เองที่กรมศุลกากรเริ่มรายงานการจับกุมผู้ลักลอบนำทองคำเข้ามาในประเทศได้ และตัวเลขการจับกุมก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ปริมาณการใช้ทองคำและการส่งออกเครื่องประดับและอัญมณีที่ใช้ทองคำเป็นวัตถุดิบก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย

เมื่อมีการอนุญาตให้บริษัทโมคัตต้า (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นบริษัทลูกอขง MOCATTA&GOLDSMID ในประเทศนำเข้าทองคำได้เพียงรายเดียวนั้นปรากฎว่าต้องมีการแก้และร่างกฎหมายกันใหม่หลายฉบับเพื่อรองรับให้โมคัตต้าฯ ดำเนินงานได้

โมคัตต้าต้องจำหน่ายทองคำภายใต้เงื่อนไขคลังทองคำของทางการคือบวกกำไรเข้าไปในราคาจำหน่ายทรอยออนซ์ละ 6 เหรียญสหรัฐ

นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้โมคัตต้าไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นผู้จำหน่ายทองคำอย่างถูกต้องของทางการแต่เพียงรายเดียวในช่วงปี 2531-2532

เพราะราคาทองคำของโมคัตต้าจะสูงกว่าราคาตลาดโลกประมาณร้อยละ 1.6

ในช่วง 2 ปีที่ดำเนินการโมคัตต้าขายทองคำได้ประมาณ 2,000 กิโลกรัมเท่านั้น ต่ำกว่าที่ขอโควต้าไว้อย่างมาก ๆ

แต่โมคัตต้าเองก็ม่สามารถขายได้ต่ำกวาราคาที่กระทรวงการคลังกำหนดคือบวกทรอยออนซ์ละ 6 เหรียญ เพราะมีค่าใช้จ่ายในการบริหารของบริษัทด้วย

เมื่อสัญญาสิ้นสุดในปี 2532 ปรากฏว่าโมคัตต้าไม่ต่อสัญญา จึงเท่ากับยุติการเป็นการบริหารของบริษัทด้วย

เมื่อสัญญาสิ้นสุดในปี 2532 ปรากฏว่าโมคัตต้าไม่ต่อสัญญา จึงเท่ากับยุติการเป้นตัวแทนอย่างเป็นทางการรายเดียวไปโดยปริยาย

แหล่งข่าวในบริษัทนำเข้าฯ รายหนึ่งให้ความเห็นว่า "อุปสรรคอีกอย่างที่โมคัตต้าไม่ประสบความสำเร็จคือ เป็นบริษัทต่างชาติซึ่งเพิ่งเข้ามาในเมืองไทยและไม่ค่อยคุ้นเคยกับพ่อค้า/ผู้ผลิตรายย่อยทำให้มีคนไปซื้อทองเป็นจำนวนน้อย"

โมคัตต้าแอนด์โกลด์สมิธเป็นบริษัทค้าทองคำและโลหะมีค่าที่เก่าแก่กว่า 300 ปีของอังกฤษ มีบทบาทเป็น MARKET MAKER ในตลาดโลหะมีค่าของลอนดอนที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลก ปัจจุบันบริษัทโมคัตต้าฯ อยู่ในเครือข่ายของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์หลังจากที่ซื้อโมคัตต้าฯ มาจาก HAMBROS BANK เมื่อ 10 กว่าปีก่อน

หลังจากโมคัตต้าถอยออกไปแล้ว กระทรวงการคลังได้อนุญาตให้สมาคมฯ ทั้งสามแห่งเข้ามาเป็นผู้นำเข้าทองคำรับอนุญาตแทน โดยสมาคมฯ ได้แต่งตั้งบริษัทเข้ามาดำเนินการในเรื่องนี้

ประเกียรติเปิดเผยว่า "สมาคมฯ สามารถจำหน่ายทองคำผ่านคลังทองคำได้ตามเป้าหมายปีละ 16,000 กิโลกรัม เพราะสมาคมฯ ตั้งค่าเฉลี่ยของราคาทองคำสูงกว่าราคาตลาดโลกเพียงร้อยละประมาณ 0.6 เท่านั้น และแต่ละสมาคมฯ กำหนดนโยบายให้เพิ่มราคาซื้อขายกันไม่เกินทรอยออนซ์ละ 2.25 เหรียญสหรัฐบริษัทฯของสมาคมฯ ทำตัวเป็นเสมือนหนึ่ง NON PROFITUNIT"

จิรายุ อัสสานุวงศ์รองกรรมการผู้จัดการบริษัท พัฒนชาติ จำกัด กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า "ผมไม่ทราบเหตุผลที่กระทรวงการคลังมีมาตรการยกเลิกคลังทองคำออกมาครั้งนี้ เลยการมีคลังทองคำเป็นประโยชน์ต่อผู้ผลิตรายย่อยในแง่ที่ว่าเขาจะซื้อทองแท่งครั้ง 1 กิโลกรัม 5 หรือ 10 กิโลกรัมก็สามารถทำได้ มีบางรายมาซื้อวันละ 1 กิโลกรัมก็มีเพราะพวกเขาไม่มีทุนมาก ๆ พอที่จะตุนทองคำไว้เองได้ ซึ่งการำทอย่างนั้นก็เสี่ยงต่อราคาผันผวนในตลาดโลกแต่การมีคลังทองคำนี่พวกเขาจะไม่มีความเสี่ยงตรงจุดนี้เลย"

ผู้ผลิตรายย่อยเหล่นี้ไม่มีเงินทุนมากพอที่ะจสั่งนำเข้าจากต่างประเทศได้โดยตรง เพราะผู้ขายในต่างประเทศจะขายทองคำล็อตละ 100 กิโลกรัมขึ้นไป หากขายต่ำลงมาก็จะคิดค่าใช้จ่ายและราคาสูงมากเพราะถือว่าเป็นคำสั่งซื้อที่เล้ก

ทองคำ 100 กิโลกรัมมีมูลค่าประมาณ 30 ล้านบาท ซึ่งสมาคมเพชรพลอยเงินทองยืนยันว่าผู้ส่งออกส่วนใหญ่ไม่สามารถที่จะจมทุนครั้งละมาก ๆ เช่นนี้ได้เป็นแน่

สมาคมเพชรพลอยฯ อ้างด้วยว่าการยกเลิกคลังทองคำจะผลักดันให้ผู้ส่งออกเหล่านี้หันไปซื้อทองคำเถื่อน มีผลทำให้ระบบบัญชีของบริษัทกระทำได้ไม่ถูกต้องเนื่องจากขาดหลักฐานใบเสร็จรับเงิน

จิรายุกล่าวอีกว่า "3 บริษัทนำเข้ารับอนุญาตไม่ได้ดำเนินการหากำไรจากผู้ที่มาซื้อทองคำ เพราะราคาที่เราตั้งไว้เปลี่ยนแปลงตามราคาตลาดโลกจริง ๆ ส่วนที่เราได้คือจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินและส่วนลดจากผู้ขายในต่างประเทศซึ่งเราสั่งครั้งละมาก ๆ "

อานนท์ กฤติยานนท์ เจ้าหน้าที่ของบริษัทโกลด์ยูเนี่ยน จำกัดเปิดเผยว่า "การขายทองในตลาดบ้านเราไม่สามารถหากำไรได้เกิน 1% เราต้องตั้งราคาตามตลาดโลก ผู้ซื้อจะโทรฯ เข้ามาเช็คว่าวันนี้ราคาเท่าไหร่ แล้วเขาก็จะโค้ดราคาจากเราไปทำการตกลงกับลูกค้าในต่างประเทศที่จะสั่งซื้อของ หรือบางทีก็ให้ลูกค้าโทรฯ มาเช็คราคาจากเราโดยตรง หากเราตั้งราคาสูงเขาจะรู้และต้องสอบถาม ราคาทองคำที่นี่เป็นราคาตลาดโลกไม่ใช่ราคาเยาวราช"

ในการเจรจาต่อรองสินค้าระหว่างผู้ผลิตในประเทศและผู้ซื้อต่างประเทศ นั้นปัจจัยที่กำหนดราคาซื้อขายมี 4 อย่างคือ ก) ราคาวัตถุดิบหมายถึงโลหะมีค่า พลอย เพชร ไข่มุก ข) ค่าแรงงาน ค) ค่าบริหารและ ง) กำไรที่ผู้ซื้อกำหนดให้

ประเกียรติเล่าว่า "ผู้ซื้อต่างประเทศเป็นผู้เชี่ยวชาญในตลาดโลกอยู่แล้ว มักจะรู้อัตราราคาต่าง ๆ ดีกว่าผู้ประกอบการรายย่อยของไทย โดยทั่วไปผู้ซื้อต่างประเทศกำหนดกำไรมาตรฐานไว้ 2%-6% ของมูลค่าที่สั่งซื้อ"

ตามโครงสร้างนี้จึงเป็นไม่ได้ที่จะมีการกำหนดราคาทองคำขึ้นมาเอง เพราะจะไม่เกิดประโยชน์ในการเจรจาต่อรองกับผู้ซื้อต่างประเทศ

การซื้อทองคำจากคลังทองคำยังสามารถรับรองเปอร์เซ็นต์ทองได้ว่า 99.9% แน่นอน โดยบริษัทผู้ขายในต่างประเทศจะมีใบรับประกันเปอร์เซ็นต์ทองกำกับทองคำแต่ละแท่งมาให้ ซึ่งในวันที่ "ผู้จัดการ" ไปสัมภาษณ์นั้น อานนท์โชว์ใบรับประกันของ CREDIT SUISSE ให้ดู

บรรดาสมาคมฯทั้งสามแห่งต่างกล่าวอ้างว่าการมีคลังทองคำซึ่งให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ผลิตรายย่อยและกำลังได้รับความนิยมจากผู้ผลิตโดยทั่วไปนั้น ชักนำให้ผู้ผลิตเข้ามาสู่ระบบการผลิตการค้าที่มีโครงสร้างชัดเจนแน่นอนมากขึ้น และกลังมีการขยายการใช้ทองผ่านคลังทองคำให้กว้างขวางออกไปด้วย

ประเกียรติไม่ได้ปฏิเสธว่าคลังทองคำไม่ใช่ตัวขจัดตลาดมืด เขากล่าวว่า "ตลาดมืดค้าทองและเงินนั้นมีอยู่ในทุกหนแห่งทั่วโลก ประเด็นคือรัฐบาลจะใช้โครงสร้างอย่างไรที่จะทำให้แข่งขันกับตลาดมืดได้ ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่จะต้องไปค้าในตลาดมืดหากว่ามีอำนาจในการแข่งขันเท่าเทียมกัน"

ปัญหาเรื่องความเท่าเทียมหรือการแข่งขันอย่างเสรีเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงกระทรวงการคลังให้ความสำคัญอย่างมาก ๆ มาตรการยกเลิกคลังทองคำและระบบการนำเข้าโดยผ่านคลังทองคำที่กำหนดขึ้นในครั้งนี้ก็เพื่อรองรับนโยบายนำเข้าทองที่มีลักษณะเสรีมากขึ้น

เนื่องจากการซื้อขายผ่านคลังทองคำได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า จึงเป็นข้อครหาว่ามีการปฏิบัติอย่างไรไม่เท่าเทียมกัน

แหล่งข่าวในกระทรวงการคลังกล่าวว่า "มันเป็นนโยบายลงมาจากท่านรัฐมนตรี"

กองนโยบายการเงินและสถาบันการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กท. การคลังได้มีหนังสือแจ้งไปยังลูกค้าที่ซื้อทองคำผ่านคลังทองคำของทางการประมาณ 100 กว่ารายว่าหากมีความประสงค์จะใช้ทองคำต่อไปก็สามารถนำเข้าทองคำจากต่างประเทศได้โดยตรงโดยขอจดทะเบียนจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

หนังสือนั้นได้ระบุด้วยว่าอัตราอากรขาเข้าของทองคำ (เฉพาะพิกัดประเภทที่ 71.08) ได้ลดลงจากที่เคยจัดเก็บอยู่ร้อยละ 35 เหลือเพียงร้อยละ 5 และในกรณีที่เป็นผู้ผลิตเพื่อการส่งออกสามารถขอคืนอากรได้ตามมาตรา 19 ทวิ

เท่ากับว่าต่อแต่นี้ไป ผู้นำเข้าทองคำจะต้องเสียภาษีนำเข้า 5% และภาษีการค้ารวมภาษีเทศบาล 3.3% ทุกทอดที่มีการซื้อขาย

กรณีที่เป็นผู้ส่งออกสามารถคืนภาษีนำเข้า 5% ได้ตามมาตรา 19 ทวิ

กระทรวงฯ ดูเหมือนจะมุ่งให้ความสำคัญในเรื่องการจัดเก็บภาษีให้เท่าเทียมกันอย่างมากแหล่งข่าวในกระทรวงฯ กล่าวด้วยว่าตอนนี้มีผู้มาจดทะเบียนขอนำเข้าทองคำแล้วประมาณ 50 ราย

สมาคมเพชรพลอยเงินทองอ้างว่าเมื่อมีการประกาศนโยบายทองคำเสรีนั้นได้มี 13 บริษัทจดเป็นผู้นำเข้า แต่ไม่มีบริษัทใดเลยที่ได้นำเข้าทองคำ เพราะเป็นเรื่องไม่คุ้มในแง่ของดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการเก็บรักษาทองคำ

ขณะที่กระทรวงการคลังให้ความสำคัญกับเรื่องการนำเข้าเสรีและการเก็บภาษี กระทรวงฯ ก็มองว่าปัญหาทองเถื่อนเป็นหน้าที่ของกรมศุลกากรที่เป็นผู้ตรวจจับพูดง่าย ๆ คือมีหน้าที่กันคนละอย่าง

เรื่องความเดือดร้อนและความเข้าใจในการทำธุรกิจของผู้ผลิตรายย่อยจึงไม่มีใครสนใจ ไม่ได้อยู่ในหน้าที่ของฝ่ายใดที่จะเป็นผู้ส่งเสริม

จากนี้ไปผู้ผลิตรายย่อยจะต้องมีต้นทุนเพิ่มขึ้นการนำเข้าทองคำแต่ละครั้งจะต้องมีมูลค่าสูงกว่าราคาในตลาดโลกไม่น้อยกว่า 9% ขณะที่ราคาสินค้าเมื่อส่งออกถูกผู้ซื้อต่างประเทศกำหนดไว้ไม่เกินกว่า 1% ของราคาตลาดโลก

ผู้ผลิตรายย่อยจะหาทางออกอย่างไรคงเป็นเรื่องที่รู้กันดีอยู่แล้วทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นสำนักงานเศรษฐกิจการคลังและกรมศุลกากร

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us