Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤศจิกายน 2534








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤศจิกายน 2534
ข้อบกพร่อง กฎหมายสิ่งแวดล้อมไทย             
โดย รัฐ จำเดิมเผด็จศึก
 


   
search resources

Environment
Law




ทุกวันนี้ประเทศไทยได้มีโรงงานอุตสาหกรรมเกิดขึ้นมากมาย สิ่งที่สื่อมวลชนหลายแขนงได้รณรงค์กัน อย่างครึกโครม ก็คือการรักษาสภาวะแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นเรื่องอากาศหรือแม่น้ำ ลำคลอง แต่บางครั้งผู้ที่ห่างไกลจากมลภาวะเป็นพิษเหล่านี้ก็ยังมิได้ตระหนักถึงปัญหานี้อย่างจริงจัง นอกจากนั้นเมื่อไม่นานมานี้ก็มีข่าวหนึ่งที่เป็นที่กล่าวขวัญกันอยู่ทั่วไปที่พนักงานในโรงงานซีเกทเกิดอาการเจ็บป่วย อันเนื่องมาจากการได้รับสารพิษจากการทำงาน ก็ทำให้เกิดประเด็นความคิดขึ้นมาว่าหากเกิดเหตุการณ์ที่คล้างคลึงอย่างนี้ขึ้นกับเราไม่ว่าจะเป็นการได้รับสารพิษจากการทำงาน หรือได้รับจากการรั่วไหลออกมานอกโรงงานอุตสาหกรรมแล้ว เราจะมีมาตรการทางกฎหมายที่คุ้มครงอหรือชดใช้เยียวยาให้ความเสียหายอย่างไรบ้าง

กฎหมายไทยในส่วนที่เกี่ยวกับการกำกับและควบคุมสิ่งแวดล้อมนั้น ก็มีอยู่หลายฉบับด้วยกันคือ

1. พ.ร.บ.ส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2518 มีวัตถุประสงค์ในการจัดให้มีคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติขึ้นเป็นองค์กรของรัฐเพื่อปฏิบัติงานเกี่ยวกับการป้องกันแก้ไขและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมทั่ว ๆ ไปของชาติ แต่บทบัญญัติของกฎหมายฉบับนี้ มีลักษณะเป็นการมอบอำนาจหน้าที่ให้องค์กรของรัฐดังกล่าวขอความร่วมมือและประสานงานกับหน่วยราชการอื่นของรัฐ หรือบุคคลอื่น โดยเป็นผู้เสนอแนะการควบคุม และป้องกันคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามนโยบายหรือมาตรฐานตามหลักวิชาการเท่านั้น ซึ่งหากหน่วยงานนั้น ๆ ไม่ให้ความร่วมมือด้วยแล้ว คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติหามีอำนาจบังคับโดยลำพังไม่ อำนาจบังคับตามพ.ร.บ.นี้อยู่กับนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการพลังงานเท่านั้น

2. พ.ร.บ.วัตถุมีพิษ พ.ศ.2510 โดยแบ่งวัตถุมีพิษออกเป็น 2 ประเภทคือ วัตถุมีพิษ

ธรรมดา และวัตถุมีพิษร้ายแรง ซึ่งผู้ใดนำหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักร นำหรือส่งออกนอกราชอาณาจักร นำผ่าน ผลิตเพื่อการค้าขายมีไว้เพื่อขาย หรือใช้รับจ้าง ซึ่งวัตถุมีพิษธรรมดา และหรือร้ายแรงต้องขออนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่พ.ร.บ.นี้ก็ควบคุมเฉพาะสารเคมีที่ถูกระบุไว้ในกฎกระทรวงว่าเป็นวัตถุมีพิษธรรมดาหรือร้ายแรงเท่านั้น ถ้าไม่ใช่สารเคมีที่ระบุไว้ในกฎกระทรวงก็ไม่อยู่ในบังคับของการควบคุมตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้

3. พ.ร.บ.โรงงา พ.ศ. 2512 มีวัตถุประสงค์ในการรักษาความปลอดภัยในการทำงาน

และอนามัยของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรม และให้ความคุ้มครองแก่อุตสาหกรรมบางประเภทโดยมีมาตรการบังคับ คือ การสั่งพักใช้ใบอนุญาต การเพิกถอนใบอนุญาตโรงงานที่กระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย และในกรณีทีห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือนิติบุคคลอื่นกระทำผิดตามกฎหมายนี้ กรรมการผู้จัดการหรือบุคคลใด ซึ่งรับผิดชอบในการกระทำความผิดนั้นต้องระวางโทษตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย นอกจากนี้ยังบัญญัติให้ผู้รับอนุญาตประกอบกิจการบางประเภทจัดทำรายงานผลวิเคราะห์ปริมาณสารพิษยื่นต่อกรมโรงงานทุก ๆ 3 เดือนอีกด้วย

เมื่อเปรียบเทียบกับกฎหมายของประเทศญี่ปุ่นก็มีกฎหมายที่ใช้ควบคุมสิ่งแวดล้อมหลายฉบับ เช่น

ประการแรก กฎหมายพื้นฐานว่าด้วยการควบคุมมลพิษในสิ่งแวดล้อมได้กำหนดหน้าที่ภาระรับผิดชอบให้แก่ รัฐบาล และประชาชนเพื่อที่จะสนับสนุนนโยบายสมบูรณ์แบบ (COMPREHENSIVE POLICIES) เพื่อควบคุมกำจัดปัญหามลพิษในสิ่งแวดล้อม โดยมีบทบัญญัติให้รัฐบาลกำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม มาตรการในการควบคุมการปล่อยน้ำเสีย การใช้ทีดิ่นและก่อสร้างโรงงานสนับสนุนการติดตั้งเครื่องมือป้องกันมลพิษในสิ่งแวดล้อม นอกจากั้นก็มีการกำหนดภาระรับผิดชอบของหน่วยงานระดับจังหวัด และหน่วยงานระดับท้องถิ่นค่อนข้างชัดเจนเมื่อเทียบกับกฎหมายไทย

ประการที่สอง กฎหมายที่กำหนดโทษทางอาญาต่อการกระทำที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยบัญญัติให้ผู้ประกอบการโรงงานที่ปล่อยของเสียจากการประกอบการของตนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรือสุขภาพประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายอาจจะต้องได้รับโทษจำคุก หรือปรับตามที่กฎหมายกำหนดไว้ และในกรณีที่ผู้แทน ตัวแทนลูกจ้างหรือคนางานของนิติบุคคล คนใดทำความผิดดังกล่าวไม่เพียงแต่ผู้กระทำฝ่าฝืนจะถูกลงโทษเท่านั้น นิติบุคคลก็ต้องถูกระวางโทษปรับตามกฎหมายนั้นด้วย ซึ่งก็คล้ายกับ พ.ร.บ.โรงงานพ.ศ. 2512 ของไทยเรา แต่กฎหมายญี่ปุ่นนั้น ได้มีบทสันนิษฐานที่เป็นคุณแก่ผู้เสียหาย คือ "ในกรณีที่ผู้ใดปล่อยทิ้งของเสียซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้อื่นในการประกอบการโรงงาน หรือการประกอบการของสถานประกอบธุรกิจ ถ้าขนาดของสารที่ปล่อยทิ้งเพียงลำพังอย่างเดียวสามารถทให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือสุขภาพของประชาชนได้ ถ้าหากมีอันตราเกิดขึ้นแก่ชีวิตหรือสุขภาพของประชาชนแล้ว ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า อันตรายนั้นได้เกิดจากสารที่ผู้นั้นได้ปล่อยทิ้งจากการประกอบการ"

ประการที่สาม LAW FOR THE COMPENSATION OF POLLUTION RELATED HEALTH INJURY ซึ่งเป็นกฎหมายที่จัดให้มีเงินกองทุนทดแทนความเสียหายอันเกิดจากวัตถุมีพิษ โดยผู้เสียหายไม่ต้องเรียกร้องผ่านกระบวนการทางศาล เพื่อช่วยลดภาวะในการพิสูจน์ความผิดของจำเลย

คราวนี้ก็มาถึงปัญหา หากจะต้องฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนความเสียหายอันเกิดจากวัตถุมีพิษ เราจะต้องคำนึงถึงปัจจัยดังต่อไปนี้คือ

ปัจจัยแรก ความเสียหายที่ได้รับ

ปัจจัยสอง ความจงใจหรือประมาทเลินเล่อในการกระทำหรือการประกอบการของจำเลย

และ

ปัจจัยสาม ความสัมพันธ์ระหว่างการทำและผลการพิสูจน์เรื่องความเสียหาย ผู้เสียหายเป็นผู้กล่าวอ้างตนจึงมีหน้าที่ในการนำสืบพิสูจน์ หากพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นจำนวนเท่าใดแน่ ศาลก็มีอำนาจกำหนดให้ได้ตามสมควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการละเมิด

เรื่องการจงใจหรือประมาทเลินเล่อของจำเลย ตามหลักทั่วไปผู้เสียหายเป็นผู้กล่าวอ้าง จึงต้องมีหน้าที่นำสืบ ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความยากลำบากให้กับผู้เสียหายเป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะการประกอบการของโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ ที่มีกระบวนการผลิตซับซ้อน ซึ่งผู้เสียหายไม่สามารถล่วงรู้ขั้นตอนในการประกอบการ ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าจริง ๆ แล้ว จำเลยได้ใช้วัตถุมีพิษอะไรบ้าง ขั้นตอนการปล่อยของเสียออกจากโรงงานได้มาตรฐานหรือไม่

ซึ่งการพิสูจน์เช่นนี้ก็พอจะทำได้ แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก ส่วนพยานบุคคลที่รู้เห็นล้วนแต่อยู่ในฐานะเป็นลูกจ้างหรือเป็นฝ่ายจำเลยทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตามผู้เสียหายอาจจะผลักภาระการพิสูจน์ไปให้ฝ่ายจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 422 ที่ว่า "ถ้าความเสียหายเกิดแก่การฝ่าฝืนบทบังคับแห่งกฎหมายใดอันมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องบุคคลอื่น ๆ ผู้ใดทำการฝ่าฝืนเช่นนั้นท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นผู้ผิด" แต่แม้จำเลยจะมีหน้าที่พิสูจน์ดังกล่าว จำเลยเพียงแต่นำสืบว่าตนได้ปฏิบัติตามขั้นตอนและขอบเขตที่กฎหมายกำหนดให้กระทำครบถ้วนแล้วเท่านั้น

เพียงเท่านี้ก็เป็นการยากที่ผู้เสียหายจะนำสืบหักล้างโดยอาศัยพยานหลักฐาน ซึ่งระบุถึงความบกพร่องในกระบวนการผลิตของจำเลยได้ เพราะโดยทั่วไปแล้วจำเลยมีเอกสิทธิ์ที่จะไม่เปิดเผยวิธีการหรือกระบวนการผลิตของตนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 92

ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลศาลไทยถือหลักว่าความเสียหายของโจทย์จะต้องเป็นผลโดยตรงจากการกระทำผิดของจำเลย และต้อไงม่ไกลว่าเหตุด้วย ซึ่งในกรณีของเราก็หมายถึงโรคร้ายที่ผู้เสียหายได้ต้องเป็นผลโดยตรงจากสารพิษที่ออกจากโรงงานของจำเลย ซึ่งต้องอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ความรู้เกี่ยวกับพิษวิทยาและต้องอาศัยพยานผู้เชี่ยวชาญ

ในบางกรณีที่จำเลยมีหลายคน และจำเลยเหล่านี้มีโรงงานอยู่ใกล้ ๆ กัน การที่จะบ่งชี้ว่าความเสียหายเกิดจากโรงงานใดก็ทำได้ยาก

ในต่างประเทศจึงหาทางออกโดยพัฒนาหลักกฎหมาย เช่น นำทฤษฎีความน่าจะเป็น (PORBABILITY THEORY) มาใช้เพื่อผลักภาระการพิสูจน์ไปให้จำเลย โดยผู้เสียหายเพียงแต่พิสูจน์ให้ได้เบื้องต้นว่าผู้เสียหายได้บริโภคหรือได้รับการแพร่กระจายของวัตถุมีพิษจากการกระทำของจำเลย ภาระการพิสูจน์ก็จะโอนเป็นของจำเลยที่จะต้องนำสืบหักล้างว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายจากสาเหตุอื่น ที่มิใช่สาเหตุจากการกระทำของจำเลย

แม้มาตรการในการเรียกร้องค่าเสียหายอื่นเกิดจากสิ่งแวดล้อมเป็นพิษนั้น ยังมีข้อบกพร่องอยู่บางประการ แต่ก็เป็นธรรมชาติของกฎหมายที่ไม่สามารถที่จะบัญญัติให้ครอบคลุมถึงทุกเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นเรื่องที่เราจะต้องปรับปรุงแก้ไขกันต่อไป

แต่เหนือสิ่งอื่นใด การตรวจตราบังคับการให้โรงงานอุตสหากรรมต่าง ๆ ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมายย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หากมีเช่นนั้นแล้วก็จะเข้าทำนองที่ว่ากฎหมายนั้นมิได้ชราภาพ แต่ผู้ใช้ต่างหากที่ชราภาพ

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us