Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ สิงหาคม 2551








 
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2551
ค้าขายกับจีนไม่ใช่เรื่องง่าย             
โดย เอกรัตน์ บรรเลง
 

   
related stories

มณีต้าหมิง ทัพหน้าของทุนไทยในจีนตอนใต้
"คุน-มั่ง กงลู่" เส้นทางจีนสู่อาเชียน
Stay another Day...in Cambodia

   
search resources

Commercial and business
International
กัลยาณี รุทระกาญจน์
มณีต้าหมิง, บจก.




ใต้ยุทธศาสตร์ "ตงหมง" ของปักกิ่ง และสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ได้ก่อรูปเขตการค้าการลงทุนใหม่ให้กับพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนอย่างน่าจับตา แต่ก็เกิดคำถามขึ้นเช่นกันว่า ทุนไทยจะสามารถเข้ายึดกุมตลาดใหม่นี้ได้หรือไม่

ขณะที่สาธารณรัฐประชาชนจีน (สป.จีน) มุ่งเป้าเปิดเส้นทางออกสู่ทะเลให้มณฑลหยุนหนัน และ 4 มณฑลใกล้เคียง ที่เรียกรวมกันว่า "ซีหนาน" ผ่านกรอบความร่วมมือสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ เปิดเส้นทางคมนาคมจากซีหนาน-อาเซียน ผ่านคุน-มั่ง กงลู่ หรือถนนคุนหมิง-กรุงเทพฯ, เส้นทางเดินเรือในแม่น้ำโขงตอนบน มีท่าเรือจิ่งหง หรือเชียงรุ่ง เป็นเกตเวย์ในการขนถ่ายสินค้าเข้า-ออก มีหยุนหนันเป็นเมืองหลักของการพัฒนาตามนโยบาย "ตงหมง"

พร้อมๆ กับทุ่มงบพัฒนาโครงการคมนาคมทั้งทางบก-ทางน้ำ เชื่อมซีหนาน-อาเซียน ผ่านลาว พม่า เวียดนาม และไทย เปิดทางให้ใช้ระบบการค้าพิเศษ ด้วยการยกเว้น-ผ่อนปรนภาษีนำเข้าสินค้าผ่านชายแดน รวมถึงข้อตกลง FTA ไทย-จีนที่มีผลเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2546 รวมถึงข้อตกลงจีน-อาเซียนที่จะมีผลเต็มรูปแบบในปี 2553

ทำให้ "หยุนหนัน" กลายเป็นประตู สินค้าพิเศษที่มีสิทธิพิเศษมากกว่าการนำเข้าผ่านท่าเรือต่างๆ ในฝั่งตะวันออกของ สป.จีน มาก ทั้งท่าเรือกวางเจา เซี่ยงไฮ้ ฯลฯ ทั้งยังร่นระยะทางส่งสินค้าจากไทย เข้าสู่ตลาดจีนได้หลายเท่าตัว หากส่งสินค้า เข้าจีนผ่านชายแดนหยุนหนัน ที่มีท่าเรือจิ่งหง เป็นเกตเวย์ มีคุนหมิงเป็นเขตเสรีทางการเงิน และมีถนนคุน-มั่ง กงลู่ รองรับ (อ่านรายละเอียดใน "คุน-มั่ง กงลู่ ท่อทุน/สินค้าจีนสู่อาเซียน" ประกอบ)

ภายใต้นโยบาย "ตงหมง" ของปักกิ่ง ได้ก่อกำเนิด "ใบอนุญาตแสดงสินค้า" ที่กินความหมายครอบคลุมทั้งกระบวนการขนส่ง-โฆษณา-จำหน่ายสินค้าขึ้นในมือของ "กลุ่มบริษัทมณีต้าหมิง" นิติบุคคลสัญชาติจีนที่ถือหุ้นโดยคนไทย 100%

ซึ่งถือเป็น "ใบเบิกทาง" สำคัญสำหรับการทำตลาดใน สป.จีนที่มีผู้บริโภค มากกว่า 1,300 ล้านคน เฉพาะหยุนหนัน ก็มีประชากรมากกว่า 45 ล้านคน เกือบเท่าประเทศไทยทั้งประเทศ และเฉพาะซีหนาน หรือ 5 มณฑลตะวันตกเฉียงใต้ ก็มีประชากรมากร่วม 300 ล้านคน

กัลยาณี รุทระกาญจน์ ประธาน กรรมการบริษัท มณีต้าหมิง จำกัด กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า แม้ว่าจีนจะเดินหน้า นโยบาย "ตงหมง" เต็มที่ เพื่อพัฒนาพื้นที่ ชายแดนตะวันตกเฉียงใต้ให้ทัดเทียมกับ ชายฝั่งทะเลตะวันออก แต่ก็ไม่ทิ้งความเข้มงวดการลงทุนจากต่างชาติที่มีมาแต่ ไหนแต่ไร เช่น ขณะที่ FTA ไทย-จีน มีผลบังคับใช้พืช ผัก ผลไม้ จีนนำเข้าไทยภายใต้ภาษี 0% แต่สินค้าเกษตรไทย แม้นำเข้าจีนเสียภาษี 0% แต่ต้องเจอ VAT แต่ละมณฑลอยู่ รวมถึง Non Tariff Barrier อีกหลายกรณี เช่น นโยบาย One License For One Product ที่ต้องมีใบอนุญาตนำเข้า, ใบอนุญาตค้าส่ง, ใบอนุญาตค้าปลีก/กฎระเบียบการนำเข้า ทั้งการตรวจโรคพืช-มาตรฐานความปลอดภัยสินค้า, ใบแสดงถิ่นกำเนิด/มาตรฐานสินค้าที่แตกต่างกัน (อ.ย., มอก.) เป็นต้น

ที่จริงแล้ว แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่นักลงทุนต่างชาติจะได้ใบอนุญาตนี้ เพราะ รัฐบาลจะอนุญาตให้เฉพาะนักลงทุนในประเทศเท่านั้น หรือถ้าเป็นกิจการร่วมทุนก็ต้องมีทุนจดทะเบียนสูงถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐ

"แต่เราได้มาด้วยทุนจดทะเบียนเพียง 600,000 หยวน หรือประมาณ 3 ล้านบาท"

ที่มาที่ไปของใบอนุญาตแสดงสินค้าใน สป.จีน ที่แม้ว่าบริษัท มณีต้าหมิง จำกัด จะได้มาเพราะนโยบาย "ตงหมง"ซึ่งมุ่งเป้าพื้นที่ซีหนาน แต่สามารถดำเนินการได้ทุกมณฑลนั้น กัลยาณีบอกว่าได้รับอนุมัติจากปักกิ่งโดยตรงเมื่อปี 2546

กัลยาณีเชื่อว่า ใบอนุญาตแสดงสินค้าใน สป.จีนที่มีอยู่ในมือจะเกื้อหนุนสินค้าไทยทำตลาดจีนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายมากขึ้น หลังจากกระบวนการรุกเข้าสู่ตลาดประเทศที่ได้ชื่อว่า จะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่ของโลก ผ่านประตู "พิเศษ" ยังไม่ปรากฏรูปธรรมเท่าใดนัก

หลายปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่มกิจการขนาดกลาง-เล็ก (SMEs) ที่มุ่งหวังทำตลาดจีน ต้องประสบกับสารพัดปัญหา ทำได้เพียงส่งสินค้าไป "ฝากขาย" ซึ่งไม่สามารถหยั่งรู้ได้ว่า จะขายได้หรือไม่ สุดท้ายต้องม้วนเสื่อกันรายแล้วรายเล่า

กัลยาณีเล่าประสบการณ์นำสินค้าไทยเข้าจีน เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2548 ว่า หลังบริษัทได้ใบอนุญาตแสดงสินค้า ได้ขอสัมปทานการเคหะหยุนหนัน สป.จีน 5,000 ตร.ม. ตั้งเป็นศูนย์แสดงสินค้าไทย-จีน ณ นครคุนหมิง มณฑลหยุนหนัน เพื่อพัฒนาให้เป็น "permanent exhibition center" ขนาดเล็ก จากนั้นเปิดให้ผู้ประกอบการไทยเช่าพื้นที่นำสินค้าเข้าแสดงครั้งที่ 2 ในชื่องานแสดง "สินค้าข้าว-ธัญพืช" ปรากฏว่า

- ลำไยไทย 1.2 ตัน ถูกกัก เพราะ ไม่มีใบรับรองการตรวจโรคพืชจากไทย

- เจ้าหน้าที่จีนเข้าตรวจสอบสินค้าก่อนจัดแสดง พบว่า 72% ของรายการสินค้าทั้งหมดมีปัญหาน้ำหนักสินค้าไม่ตรงกับที่ฉลากระบุ ส่วนใหญ่แสดงน้ำหนักสุทธิ ไม่ได้แสดงน้ำหนักตามสัดส่วน

- สินค้า OTOP ของไทยบางชนิด มีเชื้อแบคทีเรียมากกว่า 1 ล้านชนิด

คราวนั้นต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันวุ่นวาย แต่ก็ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อย-กลางไทยหลายรายได้ออเดอร์กลับมา

แม้ว่ารัฐไทยจะพยายามจัดสัมมนากระตุ้นให้ SMEs ไทยบุกตลาดจีนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผลักดันโครงการศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center) ใน สป.จีน 12 แห่ง ด้วยการตีตรารับประกันให้เอกชนที่ลงทุนเปิด DC ไทยใน สป.จีน-ชักชวนให้ลงทุนเช่าพื้นที่ใน DC เพื่อนำสินค้าไทยเข้าไปวางจำหน่ายก็ตาม

แต่ก็ยังตอบคำถามไม่ได้หลายประเด็นว่า เมื่อผู้ประกอบการไทยลงทุนเช่าพื้นที่ใน DC แล้ว จะขายปลีกหรือขายส่งได้หรือไม่/ต้องมีใบอนุญาตค้าปลีก-ค้าส่งหรือไม่/ต้องจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใน สป.จีน หรือไม่/หรือต้องนำสินค้าไทยไปฝากขายเท่านั้น

ซึ่งในข้อเท็จจริงของการนำสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดจีนนั้น จะต้องจัดส่งตัวอย่างพร้อมเอกสารขออนุญาตจากหน่วยตรวจโรคพืช, ตรวจสอบมาตรฐานน้ำหนักสินค้า ที่ต้องแจ้งในฉลากด้วยว่า สินค้าแต่ละชนิดมีสัดส่วนน้ำเท่าใด-เนื้อสินค้าเท่าใด บวกลบได้ไม่เกิน 10%

เมื่อผ่านกระบวนการนี้แล้วต้องยื่นเสียภาษีตามพิกัดภาษีและภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ต้องตรวจสอบพิกัดจาก Customs Import and Export Tariff of the People's Republic of China ที่ สป.จีน กำหนด และจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มปีละครั้ง จำหน่ายเล่มละ 260 หยวน (กรณีนำสินค้าโชว์ในงานแสดงสินค้า เพื่อโชว์ แจกชิม ไม่ต้องเสียภาษี-VAT แต่กรณีต้องการขายสินค้าต้องชำระทั้งภาษีศุลกากร ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีค้าปลีก)

หมายถึงจะต้องจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใน สป.จีน แน่นอน ต้องร่วมทุนกับกลุ่มทุนจีน ที่ย่อมมีความเสี่ยงในประเด็นข้อกฎหมาย-ใช้เงินทุนสูง เพื่อขอใบอนุญาตค้าส่งค้าปลีก รวมถึงการทำมาตรฐาน-แพ็กเกจ-ฉลากสินค้าให้ตรงกับระเบียบข้อกฎหมายจีนกำหนดไว้ทุกกระเบียด

ดังนั้นการนำสินค้าไทยเข้าตลาดจีนระยะที่ผ่านมา จึงเป็นไปในลักษณะการนำเข้าเพื่อโชว์-ให้ชิมในงาน ก่อนจะไปจบที่ "ฝากขาย" เท่านั้น

และด้วยปมปัญหาเหล่านี้ดูเหมือนว่า สุดท้ายรัฐไทยได้แต่หันมาใช้นโยบาย "กวนซี่" ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยนำสินค้าไปใส่โสร่งเป็นสินค้าพม่า เพื่อใช้สิทธิ์เป็นสินค้าชายแดน หรือนำสินค้าเข้าจีนภายใต้สิทธิทางการทูต หรือนำเข้าเพื่อแสดง-โชว์ ซึ่งไม่ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบจากทางการจีน

ทั้งที่ในความเป็นจริงแนวทางนี้หากินได้ระยะสั้นๆ เท่านั้น หรือได้แต่ "กล่อง" เท่านั้น

แต่ถ้าทำตามกฎหมายของ สป.จีนได้ จากนั้นใช้หลักกวนซี่เกื้อหนุนก็จะกินได้ยาวไม่มีที่สิ้นสุด

"ที่จริงข้าราชการไทยไปเยือนจีนเพื่อเจรจาทางการค้าระหว่างประเทศบ่อยครั้งที่สุด-จีนก็รักคนไทยมากที่สุด แต่ก็เป็นไทยเองที่ไม่ได้ผลประโยชน์ทางการค้ามากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ"

ตามตัวเลขมูลค่าการค้าระหว่าง จีน-ไทยจากกรมพาณิชย์ มณฑลหยุนหนัน ระบุว่า การส่งออกสินค้าจากมณฑลหยุนหนันผ่านเข้าชายแดนเชียงราย ปี 2005 มีมูลค่า 129.52 ล้านเหรียญสหรัฐ, ปี 2006 มูลค่า 109.19 ล้านเหรียญสหรัฐ, ปี 2007 มีมูลค่า 156.80 ล้านเหรียญสหรัฐ (ปี 2007 มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น 43.60% เมื่อเทียบกับปี 2006) ขณะที่การนำเข้าสินค้าจากไทย ปี 2005 มีเพียง 21.50 ล้านเหรียญสหรัฐ, ปี 2006 มีมูลค่า 21.50 ล้านเหรียญสหรัฐ และปี 2007 มีมูลค่า 63.41 ล้านเหรียญสหรัฐ

หลายคนเชื่อว่าหลังจากถนนคุน-มั่ง กงลู่ เปิดใช้อย่างเป็นทางการ มูลค่าการส่งออกของหยุนหนันผ่านเข้าสู่ประเทศไทยจะเพิ่มอีกหลายเท่า จากเดิมที่เทียบสัดส่วนได้เพียง 1% ของมูลค่าการค้ารวมระหว่างไทย-จีนเท่านั้น

แต่มูลค่าสินค้าจากไทยเข้า สป.จีน ผ่านพรมแดนด้านนี้ยังมีปัญหาอยู่   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us