Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤศจิกายน 2534








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤศจิกายน 2534
MARKET FOR CORPORATE CONTROL ในตลาดหุ้นไทย             
โดย ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
 


   
search resources

Stock Exchange




ตามความเชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินที่ว่าธรรมชาติจะเป็นผู้กำหนดเลือกสรรพสิ้งทีมีชีวิตว่าสิ่งไหนควรอยู่ และสิ่งไหนควรสูญพันธุ์ไป แม้กระทั่งสิ้งที่คงอยู่นั้นควรปรับตัวและเป็นรูปแบบใดถึงจะเหมาะสมที่สุด ตามหลักของ "อยู่รอดมาได้เพราะเหมาะสมที่สุด" (SURVIVAL OF THE FITTEST)

ฉันใดก็ฉันนั้น ในสังคมแบบทุนนิยมปัจจุบันผู้คนที่ถือว่าก้าวหน้าที่สุดและได้รับการศึกษาแบบสมัยใหม่ที่สุดได้ยึดถือเอากลไกตลาด (MARKET MACHANISM) ให้เป็นใหญ่ในการตัดสินเลือกสรร และกำหนดลักษณะของสรรพสิ่งทางด้านธุรกิจ (ECONOMIC MATTER) ว่าสิ่งไหนควรคงอยู่หรือสิ้นไปและถ้าจะปรับตัวให้คงอยู่จะต้องปรับตัวในแนวทางใด

องค์กรธุรกิจเป็นสิ่งมีชีวิตที่แสวงหากำไรอยู่ในธรรมชาติของระบบเศรษฐกิจอันนั้น ย่อมต้องอาศัยการปรับตัวให้เหมาะสมเพื่อความอยู่รอดตามสถานการณ์แวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและไร้พรมแดนแบบ "โลกานุวัตร" (GLOBALIZATION)

เมื่อเศรษฐกิจเติบโตขึ้นบริษัทเอกชนได้กลายมาเป็นหัวหอกในการพัฒนาและเป็นตัวจักรสำคัญในการก่อให้เกิด "ปมเด่นในเชิงแข่งขันของประเทศ" (COMPETITIVE ADVANTAGE OF NATION)

ดังนั้นเมื่อบริษัทใหญ่โตขึ้นจนอุ้ยอ้าย จนเกิดระบบกาฝากที่แฝงอยู่ ทำให้ขาดความคล่องตัวและขาดประสิทธิภาพจนในที่สุดกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศแล้ว โดยธรรมชาติของกลไกตลาดเสรีจะต้องบังคับให้เกิดการปรับตัวเปลี่ยนแปลงไปสู่รูปแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพกว่าซึ่งเรียกกันว่า "การปรับตัวของบริษัทธุรกิจ" (CORPORATE RESTRUCTURING) การกระทำอันนี้เมื่อทำแล้วเห็นผลดีขึ้นก็จะเกิดการขยายตัวไปทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจเลยทีเดียว

ทั้งนี้แรงจูงใจที่จะทำให้เกิดการปรับตัวเพื่อประสิทธิภาพดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้โดยธรรมชาติก็แต่ในระบบทุนนิยมที่พัฒนาแล้วโดยที่ต้องมี RESTRUCTURING INFRASTRUCTURE ที่พรั่งพร้อมประกอบด้วยตลาดทุนที่ใหญ่พอในการระดมทุนทั้งในรูปของหนี้จนถึงหุ้นทุน กฎระเบียบที่รอบคอบในการป้องกันความเสียหายของผู้ลงทุนพร้อมทั้งระบบภาษีที่จูงใจ ระดับเงินออมที่มากพอและนักลงทุนแบบสถาบันที่พร้อมจะลงทุนในจำนวนมาก ๆ ฯลฯ การผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของรัฐ (DEREGULATION) เป็นการสร้างแรงจูงใจอย่างหนึ่งให้เกิดกระบวนการนี้ "LBO คงเกิดขึ้นได้ในประเทศไทย แต่คงไม่มากนัก CASE ที่ต้องใช้เงินมาก ๆ คงเกิดขึ้นได้ยาก เพราะว่าตลาดทุนโดยเฉพาะในส่วนของหนี้ยังไม่เติบโตพอดังนั้นจึงขาดแหล่งเงินที่จะนำมาซื้อกิจการ ดิฉันไม่เชื่อว่าลำพังแต่สถาบันการเงินจะยอมเสี่ยงปล่อยกู้ให้กับการทำ LBO เป็นจำนวนมาก ๆ ซึ่งจุดนี้ไม่เหมือนในสหรัฐฯ ซึ่งผู้ที่จะทำ LBO สามารถระดมทุนจากประชาชนในรูปของหนี้ได้ เพราะตลาดของเขาใหญ่และมีมาตรฐานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง ก่อนที่ ILKEN จะถูกจับการหาเงินโดย JUNK BOND เป็นวิธีที่ไม่ยากเย็นเลยไม่แน่ใจว่า JUNK BOND จะใช้ได้ในเมืองไทยหรือไม่" ELLIE HIRSH HORN อดีตวาณิชธนากรจาก CS FIRST BOSTON และ WASSERSTEINPERELLA ให้ความเห็นกับผู้เขียนเมื่อไม่นานมานี้

ตลาดหุ้นนอกจากจะมีหน้าที่พื้นฐานในการเป็นแหล่งออมเงนและระดมทุนของกิจการธุรกิจแล้ว หน้าที่อีกอันหนึ่งก็คือเป็นแหล่งกลางในการซื้อขายสิทธิในการควบคุมบังคับบัญชาบริษัทธุรกิจ (CORPORATE CONTROL)

การซื้อขายสิทธิดังกล่าวมีความเกี่ยวพันกับกระบวนการ "การปรับตัวของบริษัทธุรกิจ" อย่างลึกซึ้ง กล่าวคือการปรับตัวฯ นั้นอาจจะกระทำได้หลายรูปแบบเช่น การขยายกิจการโดยการเข้าควบหรือซื้อกิจการของชาวบ้าน (MERGERS AND ACQUISTIONS) หรือการตัดบางส่วนของกิจการในรูปแบบต่าง ๆ (DIVESTITURE) เช่นการขายบริษัทลูกทิ้ง หรือแยกแผนกบางแผนกที่มีอนาคตดีให้มีสถานะเป็นบริษัทลูก (SPIN-OFF) หรือแม้กระทั่งมีคนบางกลุ่มรวมตัวกันกู้ยืมเงินมาซื้อหุ้นทั้งหมดที่มีอยู่ในตลาดฯ (LBO) แล้วนำบริษัทนั้น ๆ ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ (GOING PRIVATE)

การกระทำเหล่านี้ล้วนจะต้องเกี่ยวข้องกับกระบวนการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ทั้งนั้น แต่การซื้อขายหุ้นอันนี้จะเป็นการซื้อขายทีละมาก ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิในการเข้าครอบครองการควบคุมบริษัทนั้น ๆ การซื้อขายดังกล่าวบางทีก็เกิดขึ้นโดยการสมยอมกันล่วงหน้า แต่บางทีก็ต้องต่อสู้กันหลายยกเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธินั้น

ครั้งหนึ่งเมื่อทศวรรษที่ผ่านมาการกระทำแบบนี้ได้เกิดขึ้นอย่างมากและแพร่หลายในตลาหุ้นของสหรัฐฯ และส่งผลมาถึงปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง LBO ที่ทำให้บริษัทในสหรัฐฯ ต้องแบกหนี้สินกันอานในปัจจุบัน ซึ่งบางบริษัทก็ต้องล้มละลายไปเพราะไม่มีเงินพอในการนำมาจ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้ที่ซื้อหุ้นกู้ของตน ประกอบกับการล้มของ DREXEL BURNHAM LAMBERT และการถูกจับของ MICHAEL MILKEN ทำให้ตลาด JUNK BOND ซบเซา จนส่งผลกระทบต่อสถาบัน SAVINGS & LOAN ที่เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ของพันธบัตร LOW GRADE อันนั้น

นักวิชาการต่างพากันถกเถียงถึงการกระทำอันนี้กันมากว่ามันก่อผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาวจริง ๆ หรือไม่ หรือเพียงแต่ก่อความร่ำรวยระยะสั้นให้แก่พวกนักล่ากิจการ (CORPORATE RAIDER) และวานิชธนาการที่เกี่ยวข้องใน DEAL นั้น ๆ เท่านั้น

MICHAEL JENSEN แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาดถึงกับทำนายในบทความของเขาที่ลงพิมพ์ใน HARVARD BUSINESS REVIEW (เรื่อง ECLIPSE OF THE PUBLIC CORPORATION) เมื่อปี 1989 ว่า LBO จะเกิดมากขึ้นในอนาคต การซื้อกิจการแล้วนำออกจากตลาดหลักทรัพย์นั้นเพิ่งจะเริ่มต้น ในอนาคตรูปแบบขององค์กรธุรกิจจะเปลี่ยนไปจากการเป็นบริษัทมหาชน (PUBLIC CORPORATION) ไปเป็น LBO ASSOCIATION เพราะรูปแบบเก่านั้นไม่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพกับระบบเศรษฐกิจและไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป

จนต่อมาได้เกิดวิวาทะขึ้นโดย ALFRED RAPPAPORT ได้เขียน บทความโต้ตอบเรื่อง THE STAYING POWER OF THE PUBLIC CORPORATION ว่าต่อไปผู้บริหารควรตรวจสอบการบริหารของตนตลอดเวลา ว่าสอดคล้องกับราคาหุ้นหรือไม่ เป้าหมายของการบริหารคือการให้ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นให้สูงที่สุด โดยการจ่ายเงินปันผลหรือการรักษาระดับราคาหุ้นในสอดคล้องกับมูลค่าที่แท้จริงของกิจการอย่าให้เกิด UNDERVALUE เพราะจะมีภัยคุกคามจากพวกนักล่ากิจการเข้ามาเสนอซื้อหุ้นโดยให้ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นสูงกว่า ทำให้อาจถูก TAKEOVER ได้ แล้วพวกนี้อาจแยกบริษัทออกเป็นชิ้น ๆ ขายหรือปลดคนงานออก ผู้บริหารจึงไม่ควรรอให้เกิดภัยคุกคามอันนั้นควรตรวจสอบผลประกอบการกับราคาหุ้นอยู่ตลอดเวลาโดยการทำ LBO AUDIT

ดังนั้น LBO ASSOCIATION จึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงในระยะสั้นเท่านั้น ในระยะยาวแล้วรูปแบบที่ดีที่สุดขององค์กรธุรกิจคงเป็นบริษัทมหาชนอยู่

ปัจจุบันตลาดหุ้นของไทยได้เติบใหญ่ขึ้นมาก และเริ่มมีการซื้อขายสิทธิเพื่อการควบคุมโดยผ่านตลาดฯ กันบ้างแล้ว เช่นในกรณีของบริษัทสามชัย บริษัทภูเก็ต ยอชต์ คลับ บริษัทซันเทคกรุปและล่าสุดคือบริษัทฟิลาเท็ค ซึ่งในหลายกรณีถือเป็นการเข้าไปซื้อเพื่อฟื้นฟูกิจการเป็น CORPORATE RESTRUCTURING รูปแบบหนึ่ง

ในอนาคตอันใกล้นี้คาดว่ากิจกรรมเหล่านี้ จะเกิดมากขึ้น บริษัทหลักทรัพย์หลายแห่ง ได้เริ่มตั้งฝ่าย M&A ขึ้นแล้ว และเราก็ได้เริ่มเห็นแววว่านักธุรกิจบางคน มีแววที่จะพัฒนาไปเป็น "กล่ากิจการ" ได้นอกจากนั้นการหันมาลงทุนในบ้านเราของกองทุนต่างชาติที่มีลักษณะเป็น "กองทุนเพื่อทุนธำรง" (VENTURE CAPITAL FUND) ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่จะเร่งให้เกิดการซื้อขายสิทธิฯ มากขึ้น

ถ้าวิเคราะห์ดูให้ดีจะเห็นว่ามีหลาย ๆบริษัทที่จดทะเบียน ในตลาดหุ้นไทยที่ราคาของสินทรัพย์จริงมีมูลค่ามากกว่ามูลค่าของหุ้นในตลาด ซึ่งหมายความว่าบริษัทเหล่านี้เหมาะมากที่จะตกเป็นเป้าหมายของการเข้าครอบครองเพื่อนำมาปรับให้เกิดมูลค่ามากขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้นมีบริษัทหลายบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ MATURE แล้วที่มักจะมีกระแสเงินสดไหลเข้าเป็นจำนวนมากอย่างสม่ำเสมอ แถมยังมีเครื่องจักร โรงงาน ที่ดิน ที่ถูกบันทึกบัญชีในราคาทุน ซึ่งถ้าถูกนำมาขายในราคาตลาดแล้วจะทำกำไรได้มาก ตัวอย่างเช่นบางบริษัทในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และสิ่งทอ

ถ้าหากว่าระบบทุนนิยมและตลาดหลักทรัพย์ฯ ของเราได้พัฒนาไปเต็มที่แล้ว เชื่อแน่ ๆ ว่าบริษัทเหล่านี้ต้องตกเป็นเป้าหมายของการทำ LBO อย่างแน่นอน

แต่ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยยังมีลักษณะที่พิเศษ คือ หุ้นที่กระจายอยู่ในตลาด ยังมีจำนวนค่อนข้างน้อยทำให้การซื้อขายสิทธิในการควบคุมทำได้ยาก

กรณีที่เกิดขึ้นแล้วแทบทั้งหมดจะเป็นการซื้อขายแบบมีการสมยอมกันล่วงหน้า นอกจากนั้นความเกรงกลัวในเรื่องของอิทธิพลบางอย่างในการทำธุรกิจยังมีอยู่ไม่น้อย ดังผู้บริหารระดับสูงของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งเคยกล่าวกับผู้เขียนไว้ว่า "อย่าง LBO นี้มันน่าจะเกิดขึ้นได้หลาย ๆ กรณีในตลาดหุ้น คุณดูทีมันอันเดอร์แวลู (UNDERVALUE) อย่างสยามซีเมนต์ก็น่าจะตกเป็นเป้าหมาย (IDEALTARGET) ฝรั่งก็ชอบมากแต่คุณก็รู้ว่าใครถือหุ้นเขาอยู่ คุณจะกล้าไปยุ่งได้อย่างไร"

จะเห็นได้ว่าการที่ตลาดหุ้นสามารถเป็นแหล่งกลางของการซื้อขายสิทธิในการควบคุม ได้นั้น อาจก่อให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจโดยขจัดระบบกาฝากที่แฝงอยู่กับระบบการจัดการที่ไม่เหมาะสมได้สามารถนำสินทรัพย์ที่มีอยู่มาใช้งานได้อย่างคุ้มค่ากว่าเดิม และเพิ่มผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างยุติธรรม

จะเห็นได้ว่าการที่ตลาดหุ้นสามารถเป็นแหล่งกลางของการซื้อขายสิทธิ่ในการควบคุม ได้นั้น อาจก่อให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจโดยขจัดระบบกาฝากที่แฝงอยู่กับระบบการจัดการที่ไม่เหมาะสมได้สามารถนำสินทรัพย์ทีมีอยู่มาใช้งานได้อย่างคุ้มค่ากว่าเดิม และเพิ่มผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างยุติธรรม

ในขณะเดียวกันการซื้อขายสิทธิ ดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซื้อด้วยหนี้สินที่ต้องกู้ยืมจากต่างประเทศในจำนวนมาก ๆ แล้วนำบริษัทออกจากตลาด เพื่อแยกสินทรัพย์ออกขายเป็นชิ้น ๆ พร้อมกับการปลอดพนักงานจำนวนมากออกโดยที่กำไรจะเกิดขึ้นกับผู้คนบางคนที่เกี่ยวข้องเท่านั้น (กำไรก้อนนั้นมักจะเป็นเงินจำนวนมหาศาลเสมอ) ก็อาจเป็นผลเสียต่อสังคมส่วนรวมได้เหมือนกัน เช่นทำให้ประเทศเป็นหนี้ต่างชาติหรือคนงานตกงานเป็นต้น

ในอนาคตอันใกล้นี้มีแนวโน้มที่บริษัทใหญ่ ๆ ของทุกภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทยจะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ กันมากขึ้น บริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นตัวหลักในการเป้นพลัง ผลักดันให้เกิดปมเด่นในเชิงแข่งขันของประเทศ

ดังนั้น MARKET FOR COPORATE CONTROL ย่อมจะต้องกลายเป็นพลังขับดันอันหนึ่งที่จะก่อให้เกิดการปรับตัวขององค์กรธุรกิจเหล่านั้น เพื่อที่จะสร้างและธำรงไว้ซึ่งปมเด่นในเชิงแข่งขันของประเทศ

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us