ทีเอ็นทีใช้เงินกว่า 4,995 ล้านบาท ขยายเครือข่ายโลจิสติกส์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอีก 5 ปีข้างหน้า และประเทศไทยถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ครั้งนี้
ทีเอ็นที ผู้ให้บริการขนส่งพัสดุด่วนจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ทั้งทางอากาศและทางบก ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดไป โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศเกิดใหม่ที่เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ในภูมิภาคเอเชีย ทีเอ็นทีมีศูนย์กระจายสินค้า 3 แห่ง คือ สิงคโปร์ ฮ่องกง และประเทศไทย เป็นศูนย์หลักที่ให้บริการประเทศ ในแถบอินโดจีน
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักที่ทีเอ็นทีเลือกให้เป็นศูนย์กระจายสินค้า เพื่อส่งสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
ล่าสุด ทีเอ็นทีได้เปิดศูนย์กระจายสินค้าทางบกแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ ในเขตอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ขนาด 3,000 ตารางเมตร เพื่อใช้เป็นเส้นทางขนส่งสินค้าทางบกสายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เชื่อมต่อไปยังประเทศเวียดนาม และจีน ผ่านตอนเหนือของประเทศไทย กัมพูชา และลาว
ศูนย์กระจายสินค้าที่อำเภอลำลูกกา เป็นศูนย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สามารถรองรับการขนส่งสินค้าได้มากขึ้น 3 เท่าของพัสดุที่มีการขนส่งในปัจจุบัน ศูนย์แห่งใหม่นี้จะช่วยลดระยะเวลาในการเปลี่ยนถ่ายสินค้าระหว่างคลังสินค้า และศูนย์กระจาย สินค้าได้มากถึง 2 ชั่วโมง เพราะได้รวมศูนย์ย่อยไว้ในที่เดียวกัน มีทั้งศูนย์กระจายสินค้าของเครือข่ายการขนส่งสินค้าทางบกสายเอเชีย ศูนย์กระจายสินค้าภายในประเทศ ศูนย์คลังสินค้า และศูนย์ ปฏิบัติการย่อยดอนเมือง
ศูนย์แห่งนี้จะมีพนักงานประจำจำนวน 150 คน และเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน
"ศูนย์กระจายสินค้าทางบก จะเป็นศูนย์กระจายสินค้าหลัก ของเส้นทางการขนส่งสินค้าทางบกสายเอเชีย เนื่องจากภูมิศาสตร์ ที่ตั้งอยู่ตรงกลางของเส้นทาง ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่สามารถขนส่งสินค้าจากรถบรรทุก และที่ตั้งของศูนย์ฯ อยู่ห่างจาก สนามบินนานาชาติเพียง 40 นาที" อลัน มิว กรรมการผู้จัดการ บริษัททีเอ็นที เอ็กซเพรส เวิลด์ไวด์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย ข้อมูล
ด้วยประสบการณ์ที่ทีเอ็นทีได้ก่อตั้งสำนักงานในเมืองไทยเมื่อ 28 ปีที่ผ่านมา มีศูนย์กระจายสินค้าทั่วประเทศ 26 แห่ง ขนส่งสินค้าจำนวนกว่า 40 ตัน หรือ 4,500 ชิ้นต่อวัน มีพนักงาน กว่า 3,000 คน มีรถส่งสินค้า 300 คัน เป็นส่วนช่วยทำให้ทีเอ็นที ตัดสินใจเลือกไทยเป็นศูนย์บริการสายเอเชีย และเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์รายแรกที่ให้บริการในภูมิภาคนี้
การเปิดศูนย์กระจายสินค้าใหม่เป็นเพราะว่าทีเอ็นทีเห็นโอกาสการเติบโตของผู้ประกอบการการส่งสินค้าอุตสาหกรรมสินค้า ไฮเทค เวชภัณฑ์ และรถยนต์ ที่จะมีปริมาณการขนส่งที่เพิ่มมากขึ้น
เป้าหมายของทีเอ็นทีคือการเป็นผู้นำขนส่งสินค้าในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นรายแรก ทำให้ทีเอ็นทีมีแผนลงทุนการขยายเครือข่ายและบริการภายใน 5 ปี (2551-2554) โดยใช้งบประมาณ 4,995 ล้านบาท และในเดือนสิงหาคมนี้ทีเอ็นทีจะเปิดศูนย์แห่งใหม่เพิ่มในประเทศเวียดนาม
เครือข่ายการขนส่งทางบกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของทีเอ็นที ครอบคลุม 6 ประเทศ ไทย จีน เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์ ให้บริการกว่า 125 เมือง มีเครือข่ายการขนส่งที่ครอบคลุมระยะทาง 5,000 กิโลเมตรจากประเทศสิงคโปร์ถึงประเทศจีน ที่มีประชากรรวม 174 ล้านคน หรือมีผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) มูลค่า 415 พันล้านเหรียญสหรัฐ
นอกเหนือจากการเปิดศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่แล้ว ทีเอ็นทีได้เปิดบริการใหม่เรียกว่า Freight Service เพื่อให้บริการสินค้าที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมาก บริการ มี 3 รูปแบบ คือ 1. Express Freight บริการรับสินค้าจากมือผู้ส่งถึงมือผู้รับปลายทาง ภายในวันทำการถัดไป หรือในวันทำการที่เร็วที่สุด 2. Economy Freight บริการรับสินค้าจากมือผู้ส่งถึงผู้รับแบบประหยัด ขนส่งสินค้าที่ไม่เร่งรีบมาก และ 3. Freight Plus บริการจัดส่งตามความ ต้องการของลูกค้าที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดส่งโดยไม่มี ข้อจำกัดเกี่ยวกับน้ำหนักของสินค้า
ซึ่งบริการทั้ง 3 รูปแบบจะให้บริการใน 4 ประเทศ ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ส่วนประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียจะให้บริการเฉพาะบางประเภท
"ราคาน้ำมัน" ถือว่าเป็นต้นทุนหลักบริการขนส่งของทีเอ็นที ซึ่งมิวบอกว่ามีความเป็นห่วงเช่นเดียวกัน แต่ยังอยู่ในสถานการณ์ที่บริษัทรับภาระได้และบริษัทเลือกประหยัดด้วยการใช้รถพ่วงสินค้า
ส่วนเรื่องของรายได้ บริษัททีเอ็นทีในเมืองไทยยังคาดหวัง มีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 30% ภายหลังเปิดศูนย์กระจายสินค้าใหม่
นอกเหนือจากขนส่งสินค้าทางบกแล้ว ทางอากาศก็เป็นบริการหลักของทีเอ็นทีเช่นเดียวกัน เมื่อเร็วๆ นี้ ทีเอ็นทีได้มีการปรับเปลี่ยนเส้นทางการส่งทางอากาศของเครื่องบินโบอิ้งรุ่น 747-400ER เพื่อขนส่งพัสดุ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ระหว่างประเทศสิงคโปร์ เซี่ยงไฮ้ และทวีปยุโรป
การปรับเปลี่ยนเส้นทางการบินใหม่เกิดขึ้นจากทีเอ็นทีได้ควบรวมกิจการกับบริษัท Hoau ในประเทศจีน ส่งผลดีให้กับทีเอ็นทีที่สามารถเข้าใจกฎระเบียบศุลกากรของประเทศจีน ซึ่งเป็น ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก หรือมากกว่า 1,300 ล้านคน
แผนธุรกิจของทีเอ็นทีที่ให้บริการทั้งทางบกและทางอากาศ ทำให้บริษัทแห่งนี้เชื่อมโครงข่ายระหว่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีน และยุโรป เข้าไว้ด้วยกัน
จากการประเมินตัวเลข การขนส่งทางอากาศในตลาดโลก จะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ 5.8% ต่อปี เริ่มตั้งแต่ปี 2550-2569 ส่วนในภูมิภาคเอเชียจะกลายมาเป็นผู้นำอุตสาหกรรมการขนส่ง สินค้าทางอากาศ โดยอัตราการค้าภายในภูมิภาคโดยรวมเพิ่มขึ้นประมาณ 8.6% ต่อปี ไปจนถึงปี 2569
แผนธุรกิจของทีเอ็นที ก็คือการเป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้า และพัสดุด่วนชั้นนำของโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่บริษัทได้เปิดเส้นทางบกเป็นรายแรก จะสร้างให้ทีเอ็นทีกลายเป็นผู้นำก่อนคู่แข่งอย่าง DHL หรือ Fedex
|