Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน31 กรกฎาคม 2551
SSI รับอานิสงส์เหล็กพุ่ง ครึ่งปีกำไรเพิ่ม 1.3พันล.             
 


   
search resources

สหวิริยาสตีลอินดัสทรี, บมจ.
วิน วิริยประไพกิจ
Metal and Steel




สหวิริยาสตีลอินดัสตรี รับอานิสงส์ราคาเหล็กตลาดโลกพุ่ง ฟันกำไรสุทธิงวด 6 เดือนกว่า 1.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1.3 พันล้านบาท คิดเป็น 364% ด้านผู้บริหารฟุ้งรายได้จากการขายเฉียดหมื่นล้าน หลังเน้นขายสินค้า คุณภาพดีทำให้มีกำไรเพิ่ม พร้อมยึดกลยุทธ์ควบคุมต้นทุนการผลิต

นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI กล่าวถึงผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551 ว่า บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิรวม 777.53 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.06 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 361.24 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.03 บาท หรือกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 416.29 ล้านบาท คิดเป็น 115.24%

ขณะที่ผลการดำเนินงานรวมงวด 6 เดือน กำไรสุทธิ 1,700.65 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.13 บาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่กำไรสุทธิ 366.16 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.03 บาท หรือกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 1,334.49 ล้านบาท คิดเป็น 364.46%

นายวิน กล่าวว่า ไตรมาส 2/51 ที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานของบริษัทขยายตัวดีขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนทั้งด้านรายได้จากการขายและกำไรสุทธิ คือ มีรายได้จากการขาย 9,840.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.6% ขณะที่งวด 6 เดือนแรกบริษัทมีรายได้จากการขาย 18,918.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 29.2% และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E)

'นอกจาก SSI จะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นแล้ว บริษัทยังคงมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง และมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดี โดยพิจารณาได้จากอัตราหนี้สินต่อหุ้น (D/E Ratio) อยู่ที่ระดับ 0.43 เท่า ซึ่งถือเป็นระดับที่ต่ำมาก'

ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้จากการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนจำนวน 9,686.5 ล้านบาท สูงกว่ายอดขายในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ 6,883.4 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทมีรายได้จากการขายเศษเหล็ก 154.0 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการ 1,193.5 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่กำไรขั้นต้นจากการขายและบริหาร 748.0 ล้านบาท

ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (ไม่รวมดอกเบี้ยจ่าย) ของบริษัทและบริษัทย่อยมีจำนวน 233.3 ล้านบาท (รวมขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 8.5 ล้านบาท) เปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ 227.5 ล้านบาท

'จากความพยายามของบริษัทที่ตั้งเป้าเป็นผู้นำตลาดเหล็กแผ่นรีดร้อนชั้นคุณภาพพิเศษของอาเซียน บริษัทจึงมุ่งเน้นการขายสินค้าชั้นคุณภาพพิเศษ (High Grade) ที่มีราคาขายเฉลี่ยสูงกว่าสินค้าชั้นคุณภาพทั่วไป (Commercial Grade) ทำให้ส่วนต่างระหว่างราคาขายกับวัตถุดิบสูงขึ้น (Spread) บวกกับนโยบายควบคุมต้นทุนการผลิตที่ดี ส่งผลให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น'

นายวินกล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะปรับลดสัดส่วนการส่งออกลง จากสิ้นไตรมาส 2/51 บริษัทมีสัดส่วนการส่งออกประมาณ 5% และสัดส่วนการจำหน่ายภายในประเทศ 95% เนื่องจากต้นทุนในการขนส่งสูงขึ้น และเพื่อสำรองให้มีปริมาณการจำหน่ายในประเทศเพียงพอ พร้อมกันนี้ได้วางแผนผลิตสินค้าเหล็กแผ่นชั้นคุณภาพ พิเศษเพิ่มถึง 70% ภายใน 3-5 ปี เพื่อรองรับกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมขนส่ง และอุตสาหกรรมพลังงาน เช่น ถังก๊าซ ท่อก๊าซ และหม้อแปลง

สำหรับทิศทางภาวะอุตสาหกรรมเหล็ก โลกนั้น คาดว่าจะยังคงทรงตัวในระดับสูงตามตลาดสินแร่เหล็กที่เกิดภาวะตึงตัวจากความต้องการใช้ของประเทศจีนที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่การเปิดเหมืองใหม่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการพอสมควร ส่วนประเทศไทยคาดว่าความต้องการใช้ในปีนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 3% จากโครงการต่างๆ ของภาครัฐ รวมถึงการลงทุนของภาคเอกชนในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีความต้องการใช้เหล็กแผ่นที่มีคุณภาพสูงเป็นวัตถุดิบในการผลิต

'ผมประเมินว่าราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนและเหล็กแท่งแบน(Slab) จะยังทรงตัวในระดับสูงไปอีก 2 ปีข้างหน้า ขณะที่ตลาดสินค้า เหล็กแผ่นชั้นคุณภาพพิเศษเองยังมีแนวโน้ม การเติบโตสูงในระยะยาว แต่ทั้งนี้ เสถียรภาพทางการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมเหล็ก ซึ่งยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างต่อ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us