|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ผู้บริหารสปส.มั่นใจเศรษฐกิจไทยไม่วิกฤตเหมือนปี 2540 ยืนยันคงพอร์ตหุ้นเท่าเดิมไม่ปรับลด เพราะเน้นรับผลตอบแทนในรูปเงินปันผล มากกว่าเก็งกำไรราคาหุ้น แต่ยังกลุ้มกับส่วนต่าง 14% ของกองทุนชราภาพ ที่หาผลตอบแทนมาชดเชยได้ยากเพราะตลาดหุ้นไทยที่มีขนาดเล็ก คาดบอร์ดไฟเขียวเพิ่มวงเงินลงทุนหุ้นต่างแดนอีก 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่บลจ.ไทยพาณิชย์ชี้หลายปัจจัยลบจะคลี่คลายในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า แนะนำลงทุนในกองทุนเอฟไอเอฟ เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีแนวโน้มขยับขึ้นอีก ยกเว้นน้ำมัน
นางรัศม์ชญา กุลวานิชไชยนันท์ ผู้อำนวยการ สำนักงานบริการการลงทุน สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดเผยว่า กองทุนประกันสังคมมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 535,000 ล้านบาท กองทุนเพื่อการชราภาพมีประมาณ 400,000 ล้านบาท โดยเงินลงทุนประมาณ 9% ของพอร์ตลงทุนจะเน้นลงทุนในหุ้น และสามารถให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยในปีนี้ประมาณ 10% และให้ผลตอบแทนแบบสะสมที่ 60%
ทั้งนี้ กองทุนประกันสังคมมีความจำเป็นต้องลงทุนในหุ้น เนื่องจากเป็นการลงทุนระยะยาว และภาวะตลาดหุ้นในปัจจุบันนับว่าเป็นโอกาสในการเข้าไปเก็บหุ้นที่มีคุณภาพ และเมื่อมีกำไรก็ควรขายทำกำไรออกมาบ้าง แต่ทั้งนี้ต้องดูจังหวะในการเข้าไปลงทุนเป็นสำคัญด้วย โดยการขายหุ้นในพอร์ตลงทุนจะต้องไม่ให้กระทบต่อระบบ และภาพรวมของประเทศเป็นสำคัญ
สำหรับหลักเกณฑ์ในการเข้าไปเลือกซื้อหุ้นนั้น สปส.จะเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีการจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่อง ทำให้ สปส.ไม่สนใจในการที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลง เนื่องจากจะได้รับผลตอบแทนกลับมาในรูปของเงินปันผลอยู่ดี
ส่วนภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ไม่น่าห่วงว่าจะเกิดวิกฤติการณ์เหมือนดังเช่นปี 2540 ที่เกิดจากค่าเงินบาทอ่อนตัว เพราะผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ทำการกู้เงินในรูปของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ จึงส่งผลกระทบค่อนข้างมาก แต่ในปัจจุบันเป็นในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ ที่เกิดจากภาวะน้ำมัน ซึ่งทุกประเทศล้วนประสบกับปัญหาดียวกัน ส่วนปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในสหรัฐ (ซับไพรม์) เชื่อว่าสหรัฐจะไม่ปล่อยให้สถาบันการเงินมีปัญหาแน่นอน ประกอบกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในประมาณเดือนกันยายนนี้ พรรคการเมืองจะนำวิกฤติการณ์ดังกล่าวมาเปลี่ยนเป็นโอกาสในการหาเสียง โดยปัจจุบันปัญหาซับไพรม์เริ่มเข้าสู่ภาวะนิ่งขึ้น และปลายปีนี้จะปรับตัวดีขึ้น
ส่วนการเมืองในประเทศไทย นักลงทุนควรนำวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยปัจจุบัน กองทุนประกันสังคมไม่ได้มีการปรับลดพอร์ตลงทุนแต่อย่างใด แต่จะมีการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนมากกว่า เมื่อเซกเตอร์ไหนมีปัญหาก็จะมีการปรับลดพอร์ตลงทุนลง และหันไปเลือกลงทุนเซกเตอร์ที่ได้รับผลดีจากการราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อ แม้ว่าปัจจัยทางการเมืองอาจจะมาในทางร้าย แต่กองทุนประกันสังคมจะไม่รีบร้อน และจะสร้างความเข้าใจ เนื่องจากเงินผู้ใช้แรงงานมักจะคิดว่าเมื่อสมทบเงินเข้ามาอยู่เสมอแล้ว เงินนั้นจะต้องคงอยู่ ในส่วนกองทุนชราภาพ ที่ปกติจะเรียกสมทบประมาณ 3% แต่ต้องจ่ายคืนให้กับผู้ประกันตน 20% ขณะที่ส่วนต่างประมาณ 14% นี้ นับเป็นภาระที่หนักใจของสปส. เนื่องจากตลาดในประเทศมีไม่เพียงพอกับการลงทุน
นางรัศม์ชญา กล่าวว่า กองทุนประกันสังคมอยู่ในระหว่างขออนุมัติไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มเติมอีก 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง และสามารถให้ผลตอบแทนที่ดี โดยเบื้องต้นคาดว่าอนุกรรมการบริหารการลงทุนจะอนุญาติให้นำเงินประมาณ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐไปลงทุนในหุ้น แม้ว่าตลาดหุ้นในปัจจุบนจะมีความาผันผวนมากกก็ตาม แต่จะไม่เลวร้ายไปทุกตลาด ทำให้กองทุนประกันสังคมจะมีการปรับเป้าหมายผลตอบแทนโดยเฉลี่ยในปีนี้ลงเหลือ 5% จากที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะสามารถเจริญเติบโตได้ 8.7% ขณะที่ครึ่งปีแรกผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 4.5% เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นยังไม่เอื้ออำนวย
ด้าน นายวิชชุ จันทาทับ ผู้จัดการกองทุนฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยที่กระทบกับตลาดหุ้นมี 3 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยการเมือง คาดว่าจะกดดันตลาดหุ้นไปประมาณ 2-3 อาทิตย์ เนื่องจากจะมีการตัดสินพิพากษาเกี่ยวกับคดีความสำคัญต่างๆ แต่ไม่น่าจะส่งผลกระทบนานเกิน 1 เดือน โดยหลังจากนั้นภาวะการลงทุนจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ส่วนปัจจัยราคาน้ำมันนั้นน่าเป็นห่วงอัตราเงินเฟ้อมากที่สุด เพราะหากราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 120 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล ทั้งโลกจะกดดันให้ราคาปรับลดลงมา เนื่องจากไม่สามารถอยู่ได้ แต่หากราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 110-120 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล จะทำให้อัตราเงินเฟ้อจะนิ่งตามไปด้วย อย่างไรก็ตามมองว่าอัตราเงินเฟ้อจะพีคประมาณเดือนสิงหาคมนี้ และจะจบ
สำหรับปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐคาดว่าจะไม่จบในเร็ววันนี้ โดยคาดว่าจะมีธนาคารพาณิชย์ที่ต้องให้ภาครัฐเข้าไปช่วยเหลืออีกจนถึงเดือนกุมภาพันธ์- เดือนมีนาคม 2552 ซึ่งปัญหาซีดีโอและปัญหาซับไพรม์จะจบลง
ขณะที่การลงทุนที่น่าสนใจคือการลงทุนในกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) โดยในระยะเวลา 6-8 เดือน หุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี้) ยังมีความน่าสนใจ เพราะะสินค้าโภคภัณฑ์อาจจะปรับขึ้นอีก แต่จะไม่ปรับขึ้นแรงเท่าที่ผ่านมา แต่มองว่ายังไปได้อีกอย่างน้อย 12 เดือน ส่วนราคาน้ำมันจะไม่ปรับขึ้น เนี่องจากอุปทานจะมีเข้ามามากขึ้น ส่วนตลาดหุ้น ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนปรับลดลงมา 40% อินเดียลงมา 30-40% การลงทุนในหุ้นสามารถชนะอัตราเงินเฟ้อได้ และหากปัญหาซับไพรม์หมดไป ก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นด้วย
|
|
|
|
|