เอ.พี.ฮอนด้า หวังตีตลาดรถจักรยานยนต์ปีละกว่า 1.6 ล้านคันกระจุย ด้วยเทคโนโลยีเครื่องยนต์หัวฉีดรุ่นใหม่ ประหยัดน้ำมันกว่า แถมราคาขยับเพียงนิดหน่อย คาดฐานตลาดฟีโน่เดือนละ 25,000 ที่มั่นหลักของยามาฮ่าสะเทือนแน่
แม้ช่องว่างของส่วนแบ่งตลาดระหว่างฮอนด้า และยามาฮ่า ค่ายรถยนต์อันดับ 1 และ 2 เมืองไทยจะยังห่างไกลกันอยู่มาก ฮอนด้านั้นมีส่วนแบ่งตลาดถึงกว่า 70% ตลอดหลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ขณะที่ยามาฮ่ามีส่วนแบ่งการตลาดเพียงกว่า 20% เท่านั้น แต่ทั้งการบุกตลาดด้วยตัวผลิตภัณฑ์จักรยานยนต์เกียร์อัตโนมัติหลายต่อหลายรุ่นที่ผ่านมา จนถึงแคมเปญสร้างแบรนด์ผ่าน พรีเซ็นเตอร์ ศิลปินนักร้องต่างประเทศ ตั้งแต่ F4 มาจนถึง ดงบังชิงกิ หรือแม้แต่การใช้ศิลปินนักร้องในประเทศอย่าง กอล์ฟ-ไมค์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า ฟีโน่ ก็ทำให้บังลังก์ของฮอนด้า สะเทือนได้อยู่ไม่น้อย
จะเห็นได้จากการพยายามปรับแนวคิดในการทำตลาดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่ง เอ.พี.ฮอนด้า ผู้ทำตลาดรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในเมืองไทย มีการพัฒนาการใช้พรีเซ็นเตอร์ และตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ต้านกระแสความร้อนแรงของแบรนด์ยายามาฮ่า อยู่เป็นระยะๆ
ด้านตัวผลิตภัณฑ์ ยามาฮ่า รุกอย่างหนักในตลาดรถจักรยานยนต์เกียร์อัตโนมัติ หรือ AT ทั้ง นูโว, มีโอ จนถึงฟีโน่ รถจักรยานยนต์แนวโรโทร ที่สร้างทั้งความแตกต่าง และยอดขายให้กับแบรนด์ยามาฮ่าอย่างมาก ถือได้ว่า ตลาดรถจักรยานยนต์ AT เป็นฐานที่มั่นหลัก และสำคัญของยามาฮ่าเวลานี้ โดยยอดขายรถในปี 2550 ที่ผ่านมาทั้งสิ้น 437,903 คันนั้น 90 % ของแบรนด์นี้มาจากรถจักรยานยนต์ AT ที่เหลืออีก 10% มากจากรถเกียร์ธรรมดา
เอ.พี.ฮอนด้า แม้ตลาดหลักเกือบ 50% ของยอดขายจะมาจากรถจักรยานยนต์เกียร์ธรรมดาแบบครอบครัว โดยเฉพาะรุ่น Wave ตัวเลขล่าสุดของยอดขายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าเฉพาะเดือน มิถุนายนที่ผ่านมานั้น ยอดขายจำนวน 44,189 คันมาจากรถจักรยานยนต์รุ่น ฮอนด้า Wave 100 รุ่นเดียว ขณะที่ตัวเลขยอดขายทั้งหมดของเอ.พี.ฮอนด้าในเดือนเดี่ยวกันอยู่ที่ 112,971 คัน
การส่งรถจักรยานยนต์เกียร์อัตโนมัติตั้งแต่รุ่น คลิก มาจนถึงรุ่น ไอคอน เป็นการรักษาฐานตลาดที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงไว้ การเข้าสู่ตลาดช้ากว่า ยามาฮ่า 1-2 ปี ไม่ถือว่าช้าเกินไปนัก เพราะปัจจุบัน เอ.พี.ฮอนด้า สามารถชิงตำแหน่งผู้นำตลาดรถจักรยานยนต์ AT จากยามาฮ่า ที่อยู่ในตลาดก่อน มาครองได้สำเร็จ
การแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ของ เอ.พี. ฮอนด้า ด้วยรถจักรยานยนต์เครื่องยนต์หัวฉีด ซึ่งปัจจุบันรถจักรยานยนต์ทั้งหมดเป็นเครื่องยนต์แบบคาบูเรเตอร์ เป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งในการมองข้ามคู่แข่ง เป็นการแตกเซ็กเมนท์ใหม่ ไปสู่ตลาดใหม่ ที่ค่ายคู่แข่งยังเข้าไปไม่ถึง เหมือนกับการโต้กลับยามาฮ่า ช่วงที่เคยรุกเข้าตลาดรถจักรยานยนต์ AT ก่อน
ทั้งนี้เอ.พี.ฮอนด้า เปิดตัวจักรยานยนต์หัวฉีด 2 รุ่นใหม่ ได้แก่ CZ-I ขนาด 110 ซีซี. 4 จังหวะในแบบเกียร์ธรรมดา และในรุ่น Click-I ซึ่งเป็นรถในกลุ่ม AT ซึ่งรถทั้ง 2 รุ่นมาใช้เทคโนโลยีหัวฉีดแบบใหม่ ที่เรียกว่า PGM-FI (Progrqammed Fuel Injection
เทคโนโลยีหัวฉีดดังกล่าว จะทำให้รถจักรยานยนต์ฮอนด้า มีความเด่นกว่ารถยนต์คู่แข่งในตลาดมากยิ่งขึ้นใน ด้านเทคโนโลยี และความประหยัด และถือเป็นการแก้ปัญหาจุดอ่อนให้กับรถจักรายานยนต์ AT ที่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสูงกว่ารถจักรยานยนต์เกียร์ธรรมดาในปัจจุบัน
เอ.พี.ฮอนด้า เปิดตัวรถจักรยานยนต์หัวฉีดรุ่นใหม่ พร้อมกับแผนการตลาดระยะสั้น 3 ปี ที่มีเป้าหมายหลักเพื่อเป็นองค์กรที่มีภาพลักษณ์เป็นที่ชื่นชอบมากที่สุด ควบคู่ไปกับการเป็นผู้นำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้ง 2 ส่วนจะสะท้อนกับไปสู่ในเรื่องความนิยมต่อตัวผลิตภัณฑ์ และยอดขายในที่สุด
ที่ผ่านมา ฮอนด้าถือเป็นเจ้าแรกในการพัฒนาและเปิดตัวรถจักรายนต์เครื่องยนต์หัวฉีด โดยรุ่นแรกนั้นเปิดตัวในปี 2546 ติดตั้งกับรถจักรยานยนต์ในรุ่น Wave 125i หลักจากนั้นก็พัฒนาต่อรุ่นที่ 2 ในปี 2548 โดยยังคงติดตั้งในรุ่น Wave 125i แต่ปัญหาของเครื่องยนต์หัวฉีดคือราคาที่สูงกว่าเครื่องยนต์คาบูเรเตอร์ถึงกว่า 20-30 % ทำให้กลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะตลาดรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวเข้าถึงได้ยาก และผู้บริโภคก็ยังไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนมาใช้รถรุ่นเดียวกันแต่มีราคาที่สูงกว่า แม้จะได้ใช้เทคโนโลยีใหม่ก็ตาม
สำหรับผลิตภัณฑ์รถจักรยานยนต์หัวฉีดรุ่นใหม่ทั้ง 2 รุ่นนี้ เอ.พี.ฮอนด้า สามารถทำต้นทุนการผลิตให้ถูกลง และทำให้ราคาของรถจักรยานยนต์หัวฉีดถูกลงด้วยเช่นกัน ฮอนด้าระบุว่า CZ-I เป็นรถจักรยานยนต์ในกลุ่มครอบครัว แต่เน้นกลุ่มเป้าหมายคือกลุ่มวัยรุ่นในสังคมเมือง เครื่องยนต์หัวฉีดรุ่นใหม่ขนาด 110 ซีซี.สามารถให้ความประหยัดน้ำมันได้เพิ่มขึ้นถึง 18 % และให้สมรรถนะสูงด้วยอัตราเร่งที่เพิ่มขึ้น 25 % ในราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 36,700 บาท
ส่วนรุ่น Click-I นั้น เป็นเครื่องยนต์ขนาด 110 ซีซี.เช่นกัน เป็นรถหัวฉีดในกลุ่มตลาด AT รุ่นแรก คุณสมบัติของเครื่องยนต์ตัวนี้จะให้สามารถประหยัดน้ำมันได้เพิ่มขึ้นถึง 16 % เมื่อเปรียบเทียบกับ Click รุ่นเดิม โดยมีราคาเริ่มต้นช่วงแนะนำคันละ 45,700 บาท ถือว่าเป็นราคาที่ต่ำกว่ารถจักรยานยนต์หัวฉีดเดิมอยู่พอสมควร และเป็นราคาที่สูสีกับยามาฮ่า ฟีโน่ คู่แข่งสำคัญที่มีราคาประมาณคันละ 43,000 บาท
ผลจากการทำให้ต้นทุน และราคาของจักรยานยนต์หัวฉีดต่ำลงครั้งนี้ ทำให้ เอ.พี. ฮอนด้า กล้าตั้งเป้าหมายของตลาดรถในกลุ่มนี้ได้ ด้วยจำนวนเดือนละ 8,000 คันสำหรับรุ่น CZ-I และ25,000 คันต่อเดือน
สำหรับรุ่น Click-I ซึ่งก่อนหน้านี้ยอดขายของจักรยานยนต์ฮอนด้า รุ่น Wave 125i รุ่นหัวฉีดเดิมนั้นอยู่ที่เดือนละประมาณ 5,000 คัน นั่นหมายถึงการคาดหมายว่าตลาดในกลุ่มนี้จะเติบโตขึ้นอีกกว่า 50% เมื่อราคาขายที่ลดลง
Click-I เองก็น่าจะเป็นตัวชนอีกรุ่นหนึ่งของเอ.พี.ฮอนด้า ที่ใช้ต่อกรกับยามาฮ่า ฟีโน่ ปัจจุบันตัวเลขยอดขายของพีโน่อยู่ที่ประมาณ 22,000 คัน ในตลาดกลุ่มเดียวกันฮอนด้า Click เครื่องยนต์ปกติมียอดขายต่อเดือนอยู่ราวๆ 25,000 คัน การเพิ่มตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็น Click-I หัวฉีดอีก 25,000 ต่อเดือน เป็นการตีขนาบคู่แข่ง ยังไม่นับรวมฮอนด้าไอคอน ตัวชนของตลาดรถจักรยานยนต์ AT สำหรับกลุ่มวัยรุ่น ที่สร้างยอดขายได้อีกเดือนละราวๆ 4,500 คัน
แม้ฟีโน่จะมีจุดเด่นในด้านดีไซน์ที่แตกต่าง แต่จุดเด่นในด้านความประหยัดของเครื่องยนต์หัวฉีด ที่มีสูงกว่าเครื่องยนต์ปกติ 18% ก็เพียงพอจะดึงความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่นได้พอสมควร ในสถานการณ์ราคาน้ำมันถีบตัวสูงไม่หยุดเช่นปัจจุบัน และที่สำคัญกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้เอ.พี.ฮอนด้า ยังเปิดจุดอ่อนในเรื่องความไม่มั่นใจในเทคโนโลยี เครื่องยนต์หัวฉัด ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ในตลาดรถจักรยานยนต์เมืองไทยด้วย การรับประกันอุปกรณ์หัวฉีด PGM-FI 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตรได้แก่ หัวฉีด, ปั้มน้ำมันเชื้อเพลิง, กล่องควบคุม ECU, เรือนลิ้นเร่ง, เซ็นเซอร์ตรวจจับตำแหนงลิ้นเร่ง, เซ็นเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิน้ำมันเครืองและเซ็นเซอร์ตรวจจับปริมาณออกซิเจน และได้จัดอบรมหลักสูตร PGM-FI ให้กับศูนย์บริการกว่า 1,428 แห่งทั่วประเทศ และร้านซ่อมทั่วไปกว่า 5,919 แห่งเพื่อรองรับการให้บริการแก่ผู้บริโภคให้ครอบคลุม
นอกเหนือจากระบบหัวฉีดแบบใหม่ที่ประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รถทั้ง 2 รุ่นยังสามารถเติม E 20 ได้เป็นรายแรก ถือเป็นรถรุ่นที่ค่ายฮอนด้าคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่ต้องการความประหยัด ฮอนด้าคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะเปิดตัวรถรุ่นใหม่อีก 3 เข้าสู่ตลาด และคาดว่าภายในปี 2552 รถจักรยานยนต์ทุกรุ่นของฮอนด้าจะปรับมาใช้ระบบหัวฉีด PGM-FI เหมือนกันหมด
“รถรุ่นใหม่จะช่วยสร้างยอดขายของเราให้เติบโตตามเป้าที่ได้วางไว้ ส่วนความกังวลเรื่องราคาที่จะต้องปรับตามเทคโนโลยีที่ได้ใส่เข้ามาใหม่นั้น จะต้องทำการปรับในทุกรุ่น ซึ่งเรามองว่าราคาที่ปรับขึ้นมานั้นคุ้มค่ากับที่ต้องเสียไป ซึ่งในเบื้องต้นจะมีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อ การให้ความรู้ผ่านตัวแทนจำหน่าย ว่าระบบหัวฉีดแบบใหม่มีความคุ้มค่าเพียงใด ” ธีระพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารฝ่ายขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า กล่าว
นอกจากตัวผลิตภัณฑ์แล้ว เอ.พี.ฮอนด้ายังรุกแคมเปญการต่อยอดแบรนด์อีกครั้งด้วยการ นำ บี้ เดอะสตาร์ หรือ สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของฮอนด้า Click-I ฮอนด้ามองว่า บี้เป็นบุคคลมีชื่อเสียงที่ได้การยอมรับ และที่สำคัญยังเป็นพรีเซ็นเตอร์ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของรถจักรยานยนต์ในรุ่นนี้ที่เป็นกลุ่มวัยรุ่นอีกด้วย การเลือกใช้พรีเซ็นเตอร์ที่เป็น คนไทยของฮอนด้ามาโดยตลอดนั้น ถูกตั้งคำถามว่าจะเทียบชั้น หรือสร้างการรับรู้ ความน่าสนใจในตัวผลิตภัณฑ์แข่งกับ คู่แข่งที่ใช้พรีเซ็นเตอร์ที่มีชื่อเสียงจากต่างประเทศหรือไม่ แต่เอ.พี. ฮอนด้า เห็นว่า รถแต่ละรุ่นถูกออกแบบมาให้กับผู้บริโภคที่เป็นคนไทย ในส่วนของวิศวกร โรงงาน ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นของไทยทั้งสิ้น ดังนั้นการจะสื่อสารออกไปสู่ผู้บริโภคเพื่อให้รู้จักกับตัวสินค้านั้น ก็ต้องเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและยอมรับในกลุ่มคนไทย
กรรมการบริหารฝ่ายขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า กล่าวว่า “เราไม่ค่อยเห็นด้วยกับการจ้างนักร้องหรือดาราจากต่างประเทศมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพราะเรามองว่ารถมันผลิตจากบ้านเรา ตัวผู้บริโภคก็เป็นคนไทย ดังนั้นพรีเซ็นเตอร์ก็ควรจะต้องเป็นคนไทย อีกประการคือเรื่องของการตอบแทนสังคม เรามองว่าการคัดเลือกพรีเซ็นเตอร์คนไทยถือเป็นการสนับสนุนคนไทยด้วยกัน ทำให้เงินทองไม่รั่วไหล”
ธีระพัฒน์ บอกว่า ภาพรวมของฮอนด้าในปีนี้คาดว่าจะมียอดขายอยู่ที่ 1.15 ล้านคัน เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่ตลาดรวมคาดว่าจะมียอดขาย 1.65 ล้านคัน คิดเป็นอัตราการเติบโต 3 % ทั้งนี้กลุ่มผุ้บริโภคหลักของตลาดจักรยานยนต์ยังคงเป็นเกษตรกรในระดับรากหญ้าที่มีกำลังซื้อที่ดีอยู่ แม้ว่าจะมีปัจจัยลบจากราคาน้ำมันกดดันก็ตาม ขณะที่ยอดขายครึ่งปีแรกมีจำนวน 559,000 คันเติบโตตามเป้าที่ได้วาง
นอกเหนือจากการเปิดตัวรถในรุ่นใหม่แล้ว ฮอนด้ายังเตรียมพัฒนาโชว์รูมที่มีกว่า 1,428 แห่งทั่วประเทศให้มีคอนเซ้ปต์เดียวกัน คือ Wing Center โดยรูปลักษณ์ใหม่ของโชว์รูมจะมีความทันสมัย รองรับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่หลากหลาย รวมไปถึงการเป็นสถานที่นัดพบ จัดกิจกรรมกับผู้บริโภค และที่สำคัญรูปแบบของโชว์รูมใหม่นี้จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยฮอนด้าตั้งเป้าจะพัฒนาโชว์รูมในรูปแบบใหม่นี้ให้ได้ถึง 100 แห่งภายในปีนี้
การตีโต้กลับของค่ายยักษ์ใหญ่ของตลาดอย่าง เอ.พี.ฮอนด้า ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากว่า 70% ด้วยเทคโนโลยีใหม่ครั้งนี้ ไม่เพียงจะสร้างความหนักใจให้กับ กระแสโมเดิร์นคลาสสิก ของยามาฮ่า ฟีโน่ เท่านั้น แต่ยังกระทบถึงแผนการขยายตลาดรถจักรยานยนต์แบบเกียร์ธรรมดา ของยามาฮ่า แม้ด้วยกลยุทธ์การตลาดแบบ ไลฟ์สไตล์มาร์เก็ตติ้งของยามาฮ่าจะสามารถเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นได้มากในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม และยังจะทำให้ค่ายรถจักรยานยนต์อันดับ 3 คือซูซูกิ ที่กำลังเร่งตีตื้นยอดขายทั้งรถจักรยานยนต์เกียร์ธรรมดา และAT ต้องเจอกับมรสุมการตลาดครั้งใหญ่
ไม่แน่ว่า! ผลของการรุกตลาด 3 ปีของเอ.พี.ฮอนด้า เราอาจได้เห็นส่วนแบ่งตลาดรถจักรยานยนต์ของ ฮอนด้า แตะเกือบๆ 80% กันอีกครั้งก็เป็นได้
|