Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2534








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2534
พัทยา ยังต้องเน่าอีกนาน             
โดย นฤมล อภินิเวศ โสภิดา วีรกุลเทวัญ สุกรานต์ โรจนไพรวงศ์
 

 
Charts & Figures

โครงการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาเมืองพัทยา เสนอโดย สพอ.
อ่าวพัทยาว่ายน้ำได้หรือไม่


   
search resources

Tourism
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก
Environment




5S - SEA SUN SAND SEX AND SERVICE คือ สโลแกนที่บ่งบอกถึงการเป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเลที่มีความพร้อมสูงมากในทุก ๆ ด้านของพัทยา สร้างชื่อเสียง และนำเม็ดเงินมูลค่ามหาศาลเข้าประเทศมานานหลายปี กระทั่งไม่นานมานี้ อาการเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาน้ำเน่าได้ปรากฏออกมาอย่างเด่นชัด ขณะที่แผนการแก้ไขมากมายที่วางกันมาหลายสมัยทั้งใหม่และเก่ากลับมัวติดขัดด้วยอุปสรรคนานาประการ…การเสื่อมสลายของ SEA หรือ SAND นี้อาจทำให้การเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของพัทยาถึงกาลอวสานได้ หรือมิเช่นนั้นก็ไม่ต้องขายความงามทางธรรมชาติกันอีกต่อไป ยังไงก็มีความงามแห่งเรือนร่างหญิงให้ขายได้ตลอดกาล

ใครที่เคยไปพัทยาเมื่อ 7-8 ปีก่อนคงยังจำได้ถึงภาพโค้งหาดทรายยาวทอดตัวลาดสู่ท้องทะเลเชื่อมต่อแผ่นดินกับพื้นน้ำในอ่าวพัทยา ซึ่งสะท้อนสีครามใสรับกับท้องฟ้าโปร่ง ริมถนนเรียบชายหาดก็เรียงรายอยู่ด้วยร้านค้าและสถานบริการที่พร้อมตอบสนองความต้องการและสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้เดินทางมาพักผ่อน …ธรรมชาติกับเมืองยืนอยู่เคียงข้างและควบคู่กัน

แต่ถ้ากลับไปพัทยาในวันนี้ จะได้ภาพอีกแบบหนึ่ง แม้ทะเลจะยังคงวาดวงเว้าเป็นอ่าวอยู่เช่นเดิม แต่แนวหาดทรายก็หายไปเสียแล้ว มีเพียงคันเขื่อนคอนกรีตกั้นไว้ ยามเย็นที่น้ำทะเลขึ้นนักท่องเที่ยวจากแดนไกลผู้ตั้งใจมาเที่ยวเมืองชายทะเลลงจากรถแล้วถึงกับต้องถามว่า "WHERE IS THE BEACH?"

สีครามของท้องทะเลถูกแต้มด้วยริ้วสีดำของน้ำจากท่อต่าง ๆ บวกกับสีสันของสกูตเตอร์ที่วิ่งกันวุ่นวาย และเรือโดยสารที่จอดระโยงระยางริมถนนเรียบชายหาด รวมถึงถนนสาย 2 มีสถานบริการและร้านค้าเพิ่มขึ้นอีก 3-4 เท่าตัว บาร์เบียร์กระจุกตัวเป็นหย่อม ๆ กระจายเกลื่อนอยู่ทั่วไป ตัวอาคารต่าง ๆ แออัดและเบียดเสียดอยู่ด้วยรูปร่างหน้าตาเหมือน ๆ กัน บ้างเสร็จสิ้นเป็นทรงเหลี่ยมสูงสมบูรณ์แล้ว บ้างก็ยังระเกะระกะไปด้วยเครนก่อสร้าง ร่วมกันบดบังทิวทัศน์ไปจนสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ท้องฟ้า

มิพักต้องพูดถึงการจราจรบนท้องถนนแทบทุกสายที่คับคั่งราวกับว่า เป็นส่วนเดียวกันกับปัญหารถติดตั้งแต่เมืองกรุงไล่ไปตามถนนสุขุมวิท จนถึงภายในตัวเมืองพัทยา

เมืองท่องเที่ยวที่เคยได้ชื่อว่า เป็นเมือง 5S คือ SEA SUN SAND SEX AND SERVICE ดูเหมือนจะไม่มีที่เหลือให้กับ "S" 3 ตัวแรกสักเท่าไร

ข่าวคราวที่ว่าอ่าวพัทยาเริ่มเน่า - ธรรมชาติที่พัทยาตายแล้วนับว่าไม่ใช่เรื่องที่เป็นผลดีต่อเมืองท่องเที่ยวที่วางตัวว่า เป็นสถานที่ตากอากาศชายทะเลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเมื่อทั้งภูเก็ตและสมุยต่างก็ติดอันดับโลกแล้วเช่นกัน แต่ข่าวคราวอย่างนี้ก็สร้างผลด้านดีเหมือนกัน นั่นคือก่อให้เกิดความคิดที่จะแก้ปัญหาอย่างจริงจังมากขึ้น ?

ปลายปีก่อนมีการพูดกันถึงโครงการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาเมืองพัทยารวมทั้งสิ้น 9 โครงการด้วยวงเงินประมาณ 3,598 ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเห็นชอบในหลักการเมื่อเดือนสิงหาคม เรื่องนี้ปรากฏเป็นข่าวใหญ่ที่ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างมาก ทั้งในแง่ที่ว่านี่นับเป็นครั้งแรกที่มีการดำริแก้ปัญหาของพัทยาในระดับกว้างและในแง่ของผลกระทบจากโครงการขนาดมหึมาทั้งหลาย โดยเฉพาะโครงการถมทะเลบริเวณพัทยาใต้

โครงการเร่งด่วนนี้เกิดจากการผลักดันของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (สพอ.) ที่มีสาวติตต์ โพธิวิหค เป็นผู้อำนวยการ โดยได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่น (JICA) จัดส่งคณะเข้ามาเป็นผู้ทำการศึกษาและวางแผนแม่บท เพื่อพัฒนาเมืองพัทยาตั้งแต่เดือนเมษายน 2532 เป็นต้นมา ทั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อให้เมืองแห่งนี้สามารถขยายตัวได้อย่างสอดคล้องและรองรับการพัฒนาของพื้นที่แหลมฉบังและมาบตาพุด ซึ่งทั้ง 2 พื้นที่ตั้งขนาบอยู่ทางตอนเหนือและใต้ของพัทยา

ตามแนวทางการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก เพื่อรงอรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมและเป็นการกระจายความเจริญออกจากกรุงเทพมหานครนั้น พื้นที่ประมาณ 20,000 ไร่บริเวณมาบตาพุดจังหวัดระยอง ถูกกำหนดให้เป็นเมืองอุตสาหกรรมทันสมัย ตอลดจนเป็นแหล่งอุตสาหกรรมที่สำคัญจำพวกปิโตรเคมี ปุ๋ยเคมี โรงแยกก๊าซ ส่วนบริเวณแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี บนเนื้อที่ประมาณ 10,000 ไร่ จะเป็นที่ตั้งของท่าเรือพาณิชย์และอุตสาหกรรมขนาดย่อมและขนาดลกางที่ไม่มีปัญหาด้านมลพิษ สำหรับพัทยาได้รับการวางตำแหน่งให้เป็นเมืองศูนย์กลางในด้านการท่องเที่ยวและศูนย์กลางด้านธุรกิจพาณิชย์เป็นสำคัญ

พัทยาจึงจำเป็นต้องเตรียมตัวรับมือกับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ที่กำลังย่างกรายมาถึง พร้อมกับพัฒนาตัวเองให้ก้าวขึ้นไปสู่การเป็นศูนย์กลางให้ได้

จากการศึกษาของ JICA ได้ชี้ให้เห็นว่า สิ่งแวดล้อมของพัทยาเสื่อมโทรมถึงขั้นวิกฤต มีปัญหาใหญ่ ๆ มากมายที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ปัญหาที่ได้รับการระบุไว้ ได้แก่ ปัญหาเกี่ยวกับการขาดแคลนน้ำประปา มลพิษทางน้ำ น้ำท่วม ขยะมูลฝอย การกัดเซาะชายฝั่ง จราจรติดขัด มลพิษทางเสียงและอากาศ ความไร้ระเบียบในการใช้ทะเล และการขาดแคลนท่าเทียบเรือโดยสาร เฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องน้ำเสียนับว่ารุนแรงที่สุด โดยที่ปัญหาทั้งหลายนั้นเป็นเหตุให้ชื่อเสียงในการเป็นสถานที่พักผ่อนตากอากาศชั้นหนึ่งระดับนานาชาติกำลังจะสูญเสียไป และแท้จริงแล้วในปี 2532 ธุรกิจที่พัทยาใต้ก็ได้เริ่มซบเซาลง…

โครงการราคา 3,598 ล้านบาท คือ ทางออกที่ JICA เสนอสำหรับแก้ปัญหาทั้งหมด รวมทั้งเตรียมการรับมือกับอนาคตข้างหน้า โดยมีกรมโยธาธิการเป็นหน่วยงานที่จะเป็นผู้ดำเนินการโครงการต่าง ๆ ถึง 7 ใน 9 โครงการ และกำหนดระยะเวลาไว้ว่า อย่างน้อยควรจะต้องเสร็จสิ้นก่อนปี 2539 นอกจากนี้ยังจะต้องมีโครงการต่อเนื่องตามมาอีกเพื่อพัฒนาพัทยาให้เติบใหญ่ขึ้นไป

หลังจากโครงการดังกล่าวนี้ได้รับการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ทางสพอ. ได้ชี้แจงเรื่องให้เมืองพัทยารับทราบพร้อมกับบรรดาผู้ประกอบการธุรกิจในเมืองพัทยา แต่จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ เกิดขึ้นอีกเลย ซึ่งสาวิตต์ โพธิวิหค ปฏิเสธที่จะพูดถึงเรื่องนี้กับ "ผู้จัดการ" โดยกล่าวว่า ให้ไปถามกับทางเมืองพัทยา

"ถามผม ผมจะไปรู้ดีเท่าท่านได้อย่างไร ท่านเองเป็นตัวตั้งตัวตีตั้งแต่ต้นเรื่องเลย 3,600 ล้านก็ยังนิ่งอยู่ มีแต่ตัวเลข ตัวเงินไม่รู้อยู่ที่ไหน เป็นโครงการที่อยู่ในช่อง FREEZE แข็งปึ้ก" นั่นคือคำตอบของนายกฯ เมืองพัทยา โสภณ เพ็ชรตระกูล

ส่วนทางผู้อำนวยการกองแผนงานของกรมโยธาธิการ มานะ โชติกพนิช เล่าว่า เมื่อกรมโยธาธิการ ได้รับงานนี้มาหลังจากผ่านคณะรัฐมนตรีก็ได้เตรียมแผนปฏิบัติงานแล้ว แต่งบประมาณยังตกมาไม่ถึงจึงไม่มีการเริ่มต้นดำเนินการ

ล่าสุด ทาง สพอ. ได้นำโครงการกลับไปศึกษาใหม่อีกครั้งแล้ว เพื่อพิจารณาว่า มีโครงการใดสามารถให้เอกชนร่วมลงทุนได้บ้าง เชื่อว่า คงจะต้องมีการเสนอคณะรัฐมนตรีใหม่อีกครั้งหนึ่ง

แหล่งข่าวใน สพอ. กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า ในเวลานี้โอกาสเกิดของ 9 โครงการเร่งด่วนคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากสิ่งทีเสนอไปกับรัฐบาลชุดที่แล้วเป็นเพียงกรอบกว้าง ๆ ในขั้นปฏิบัติต้องมีการศึกษาร่วมกันอีกหลายหน่วยงาน ซึ่งก็ยังไม่เสร็จสิ้น และที่สำคัญก็คือ มีโครงการอื่น ๆ ที่เร่งด่วนกว่าจะต้องผลักดันออกไปก่อน

เป็นอันว่า การพัฒนาพัทยาตามแผนของ JICA ยังเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะฝากความหวังไว้ได้เช่นเดียวกับแผนก่อน ๆ ที่เคยมีการเสนอขึ้นมา

การเริ่มต้นคิดแก้ปัญหาอย่างจริงจังเกิดขึ้นแล้ว แต่การปฏิบัติที่จริงจังยังไม่เป็นจริง

ฝ่ายคุณภาพน้ำ กองมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้เริ่มติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำในเมืองพัทยา มาตั้งแต่ปี 2519 ขณะนั้นคุณภาพน้ำทะเลตามจุดต่าง ๆ ยังจัดว่า อยู่ในเกณฑ์ดี คือ มีค่า pH อยู่ในช่วง 8.0 - 8.7 ค่าบีโอดี (BOI - Biological Oxygen Demand) 0.5 - 2 มิลลิกรัม/ลิตร ยกเว้นบริเวณปากคลองนาเกลือมีค่า pH สูงเกินกว่า 9 ค่าบีโอดี 2 - 6 มิลลิกรัม/ลิตร และค่าออกซิเจนค่อนข้างต่ำ อีกจุด คือ ปากคลองพัทยาที่มีค่าโคลิฟอร์มสูงเกินมาตรฐานว่ายน้ำ ซึ่งกำหนดไว้ไม่เกิน 1,000 MPN/100 ลิตร แต่ปากคลองพัทยามีถึง 6,000 MPN/ 100 ลิตร

"น้ำทะเลไม่ควรจะวัด BOD เพราะข้อจำกัดในกรณีที่น้ำเค็มมาก ต้องวัด TOC แต่เครื่องวัดแพงมาก จึงทำได้เท่านั้น เป็นการเปรียบเทียบให้รู้แนวโน้มคุณภาพน้ำ ส่วนค่า MPN ย่อมาจาก MSOT PROBOBAL NUMBER คือ การวัดตัวโคลิฟอร์ม โดยคิดเป็นค่าสถิติออกมา ซึ่งปกติพวกโคลิฟอร์มแบคทีเรียจะพบในลำไส้ของสัตว์เลือดอุ่นออกมากับอุจจาระ ถ้าพบตัวนี้มากก็แสดงว่ามีการปนเปื้อนจากน้ำห้องน้ำมาก" นิศากร โฆษิตรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุณภาพน้ำ วล.อธิบายถึงความหมายของหน่วยวัดคุณภาพน้ำ

จากลักษณะของคุณภาพน้ำบ่งบอกให้รู้ว่า สาเหตุของปัญหาน้ำเสียที่ปากคลองนาเกลือนั้น เกิดจากการทิ้งน้ำของโรงงานแป้งมันสำปะหลังเป็นสำคัญ จึงมีทั้งตะกอนแขวนลอยและค่าไนโตรเจน - ฟอสฟอรัส ส่วนน้ำเสียบริเวณอ่าวพัทยาที่มีโคลิฟอร์มสูง และมีคราบน้ำมันลอยเกิดจากบ้านเรือนริมหาด และจากเรือที่วิ่งไปมาค่าโคลิฟอร์มแบคทีเรียเป็นเพียงมาตรตัวเดียวที่บอกถึงคุณภาพน้ำในลักษณะหนึ่ง ซึ่งตัวโคลิฟอร์มสามารถถูกความเค็มฆ่าได้ เมื่อน้ำเสียออกสู่ทะเลปริมาณโคลิฟอร์มจะลดลงระดับหนึ่ง ฉะนั้นการที่ยังตรวจพบในปริมาณที่สูงมาก ๆ บริเวณอ่าวพัทยา จึงบอกถึงความสกปรกอย่างยิ่งของน้ำที่ถูกทิ้งออกมา

ในปี 2521 เพียง 2 ปีให้หลังปรากฏว่า ค่าโคลิฟอร์มที่ปากคลองพัทยาเพิ่มขึ้นอีกเป็น 11,000 MPN/ลิตร เกินกว่ามาตรฐานที่จะว่ายน้ำอย่างปลอดภัยถึง 11 เท่า

จากการตรวจพบนี้เอง วล.จึงได้จัดทำรายงานการศึกษาถึงแนวทางการจัดการคุณภาพน้ำทะเลขึ้น โดยเสนอให้มีการจัดทำระบบบำบัดน้ำเสียรวม

ทางด้าน JICA เองก็มิได้เพิ่งเข้ามาศึกษาเกี่ยวกับเมืองพัทยาในปี 2532 นี้ แต่ได้เคยร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดทำแผนแม่บทและศึกษาเกี่ยวกับความเป็นไปได้สำหรับการพัฒนาการท่องเที่ยวของเมืองพัทยามาตั้งแต่ปี 2519 แล้ว และผลจากการศึกษาก็ชี้ถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องของน้ำทั้งน้ำใช้และน้ำทิ้งว่า จะเป็นอุปสรรคใหญ่ที่จะสกัดกั้นการพัฒนาพัทยามาตั้งแต่ครั้งนั้น

ทว่า นั่นก็เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ดังไม่พอ !

กว่าพัทยาจะเริ่มมีโรงบำบัดน้ำสเยแห่งแรกก็ล่วงเข้าสู่ปี 2525 ตั้งอยู่ที่ถนนพัทยาซอย 17 สร้างด้วยงบประมาณ 5 ล้านบาท และมีกำลังบำบัดประมาณวันละ 1,500 ลูกบาศก์เมตร

แต่เนื่องจากมีความไม่พร้อมด้านการจัดการ การบำรุงรักษา คนดูแล และค่าใช้จ่าย (ประมาณ 10,000 บาทต่อเดือนในการเดินระบบ) ทำให้ไม่มีการเดินเครื่องอย่างจริงจังและในที่สุดก็ต้องหยุดไปเมื่อปี 2528

แต่ถึงอย่างไร พัทยาก็นับได้ว่าเป็นเมืองแรกที่ได้รับการสนับสนุนตลอด จนถึงมีการจัดสร้างระบบบำบัดน้ำเสียรวม (CENTRAL TREATMENT SYSTEM)

ในช่วงหลังจากปี 2528 นั้นเอง อ่าวพัทยาก็เริ่มมีปัญหาในขั้นที่เรียกว่า วิกฤต จากการตรวจวัดคุณภาพน้ำของแหล่งน้ำธรรมชาติในเมืองพัทยา โดยฝ่ายคุณภาพน้ำ วล. เมื่อปี 2529 พบว่า ที่คลองพัทยามีค่าบีโอดีสุงถึง 23.4 มิลลิกรัม/ลิตร และค่าออกวิเจนละลายน้ำเท่ากับศูนย์ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพน้ำทะเลโดยตรง เพราะเป็นปลายทางของน้ำจากแหล่งเหล่านี้

ส่วนปริมาณโคลิฟอร์มรวมในอ่าวพัทยาก็มีมากขึ้นมาก บางจุดมีความเข้มข้นเท่ากับน้ำทิ้งโดยตรงจากส้วมทีเดียว นอกจากนั้น ตามพื้นทรายและชาดหายก็เต็มไปด้วยมูลฝอย

ในปีเดียวกันนั้น กรมโยธาธิการก็ได้ก่อสร้างโรงบำบัดน้ำเสียแห่งที่ 2 ขึ้นที่ซอยเกษมสุวรรณ เสร็จสิ้นในวงเงิน 27.51 ล้านบาทที่ได้จากทาง สพอ.

ในปัจจุบัน เมืองพัทยาจึงมีโรงบำบัดน้ำเสีย 2 แห่งที่เปิดดำเนินการอยู่ คือ โรงบำบัดเดิมที่ซอย 17 ซึ่งได้รับการปรับปรุงระบบใหม่ มีกำลังบดบำ 5,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน และที่ซอยเกษมสุวรรณมีกำลังบำบัด 8,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน โดยกรมโยธาธิการเพิ่งขยายระบบเพิ่มเติมเสร็จไปเมื่อเดือนเมษายน รวมทั้ง 2 แห่งเท่ากับบำบัดได้วันละ 13,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน ในขณะที่ปริมาณน้ำเสียของพัทยาทั้งหมดมีประมาณ 40,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน

"มีความพยายามทำก็จริง แต่ไม่ทัน เพราะว่าการจะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามที่เอกชนเขาลงทุนไปแล้ว เขาไม่ค่อยยอม อย่างเช่น ทางแถบพัทยาใต้มีสิ่งปลูกสร้างอยู่ในทะเล ผิดกฎหมายแน่ ๆ แต่แก้ไขไม่ได้ พยายามจะสร้างท่อดักน้ำเสียจากอาคารพวกนี้เข้าโรงบำบัดให้หมด แต่เนื่องจากเป็นท่อที่ใช้ร่วมกับท่อระบายน้ำฝน เวลาที่น้ำมากก็ไหลลงอ่าวโดยตรงจนได้" นิศากร โฆษิตรัตน์ กล่าว

นอกจากเรื่องน้ำเสียแล้ว ตัวแปรอีกตัวหนึ่งที่มีผลต่อคุณภาพน้ำในอ่าวพัทยาก็คือ เรื่องของขยะ เพราะเมื่อมีขยะหลงเหลือหมักหมมอยู่มาก ความสกปรกย่อมปะปนไปกับน้ำและลงสู่ทะเล

เช่นเดียวกับเรื่องการจัดการน้ำเสีย การจัดการกับขยะปฏิกูลของเมืองพัทยาก็มีปัญหาทั้งในเชิงปริมาณและเทคนิค นั่นคือปริมาณของขยะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่ระบบกำจัดไม่อาจรองรับได้ทัน และมีประสิทธิภาพพอ

นอกจากจะเก็บขยะได้ไม่หมด เพราะรถมีไม่เพียงพอแล้ว สถานที่กลบฝังขยะที่ใช้อยู่ก็กำลังจะเต็มเมืองพัทยายังไม่มีเตาเผาขยะ ระบบการกำจัดที่ใช้อยู่จึงเป็นการทำ LANDFILL

"สถานที่อยู่ในซอยวัดอินทราราม ตรงถนนสุขุมวิท ทางไปสัตหีบ มีเนื้อที่อยู่ 35 ไร่ ใช้ประโยชน์มาแล้ว 6 ปี จะใช้ประโยชน์ได้อีกเพียง 1 ปีเศษก็จะเต็ม ต้องหาที่ดินผืนใหม่ เพราะขยะเป็นความจำเป็นเร่งด่วน" ผศ.นพ.วิทยา คุณานุกรกุล ปลัดเมืองพัทยา กล่าวกับ "ผู้จัดการ"

พัทยายังมีปัญหาอีกมากมายหลายปัญหาที่นับเป็นเรื่องเร่งด่วน ณ วันนี้หลังจากที่ผ่านการสั่งสมและฟักตัวมาแล้วเป็นเวลานาน

ความไม่พอเพียงด้านสาธารณูปโภคดูจะเป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งที่มีลักษณะเป็นปัญหาที่คู่ขนานแนบเนื่องมากับปัญหาของเสีย โดยที่สาเหตุความเป็นมานั้นก็เพราะเมืองเติบโตมากและรวดเร็ว

"สมัยก่อน พัทยาก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก พอเรามาพัฒนาพื้นที่เป็นชุมชน เป็นแหล่งท่องเที่ยว คนมาอยู่มากขึ้น น้ำเสียก็มาก ขยะมาก สิ่งต่าง ๆ เจริญไปก่อน พัฒนาไปก่อนที่ระบบสาธารณูปการจะเข้าไป" นิศากร โฆษิตรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุณภาพน้ำ วล. กล่าว

ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีก่อน พัทยาเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ริมฝั่งทะเลที่มีทิวทัศน์สวยงามซ่อนตัวสงบเงียบอยู่อย่างไร้ราคา

"ผมเกิดที่นี่ ที่นาเกลือ แถบชายหาดพัทยา 30 ปีที่แล้วน้ำทะเลสะอาดใส ผมเป็นเด็กก็ถีบจักรยานไป เป็นถนนลูกรัง ไม่มีรถวิ่ง ที่ทางก็ไม่มีใครใช้ทำอะไร คนแถวนั้นก็ลงทะเลหาปลากัน" ชายวัยกว่า 40 ปี เจ้าของร้านขายหนังสือที่ตลาดนาเกลือทวนความหลังให้ฟัง

ที่ดินริมอ่าวพัทยาในวันก่อนไม่มีคุณภาพเหมาะที่จะทำการเกษตรจึงถูกปล่อยรกร้างด้วยหญ้าหนามเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีใครอยากจับจองแผ่นดินไร้ประโยชน์เช่นนั้น

เล่ากันว่า มีชายคนหนึ่งชื่อ ลมูล นาคสนธิ์ มีอาชีพทำไร่ปลูกมันสำปะหลัง และรับจำนำที่ดินอยู่ริมถนนสุขุมวิท ยาที่มีชาวบ้านแถบพัทยาไปขอเอาที่ดินชายทะเลจำนำแลกกับข้าวสาร ลมูลก็ยังไม่ยอมรับเพราะไม่รู้จะเอาไปทำประโยชน์อะไร …ถึงวันนี้หลานที่เล่าเรื่องของลุงตนเองนี้ให้ฟังจึงได้แต่บ่นเสียดาย…

การท่องเที่ยวเข้าสู่พัทยาครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2502 นักท่องเที่ยวคณะแรกที่เดินทางมากับรถบรรทุกขนาดใหญ่จำนวนหลายคันนั้น คือ ทหารอเมริกันจากฐานทัพนครราชสีมา ทหารเหล่านี้เวียนกันมาพักผ่อนอยู่เป็นประจำมิได้ขาด จนกระทั่งสงครามในประเทศเพื่อนบ้านทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขงยุติลง ทิ้งปัญหามากมายไว้กับสังคมอีสาน และวางรากความเจริญไว้กับอ่าวพัทยา

จากแผ่นดินไร้ราคา พัทยาพัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วยศักยภาพที่มีอยู่อย่างสูงในทุก ๆ ด้าน ทั้งทัศนีย์ภาพทางธรรมชาติที่สวยงาม ทำเลที่ตั้งที่อยู่ใกล้เมืองหลวง ชาวประมงชายทะเลผู้ยากจนด้วยการครอบครองผืนดินไร้ค่ามานาน พากันย้ายตัวเองอกไปพร้อมเงินที่ได้จากการขายที่ดินนั้น ปล่อยให้คนจากต่างถิ่นเข้ามาสร้างเมืองพัทยาให้เป็นรูปแบบใหม่ ในราวปี 2515 ก็เริ่มมีโรงงานขนาดใหญ่เกิดขึ้น ได้แก่ ออร์คิดลอด์จ รอยัลคลิฟฟ์ เอเชีย สยามเบย์ซอร์ ฯลฯ

ตั้งแต่ปี 2521 พัทยาทำรายได้จากการท่องเที่ยวให้ประเทศมากถึง 1,200 ล้านบาท ในปีนี้เองที่ "เมืองพัทยา" ถือกำหนดขึ้น โดยรัฐบาลได้ตราพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ เมืองพัทยา พ.ศ. 2521 เปลี่ยนจากสุขาภิบาลนาเกลือเข้าสู่รูปการปกครองท้องถิ่นแบบใหม่ที่ประยุกต์มาจากระบบผู้จัดการเทศบาลของสหรัฐอเมริกา ถือว่า เมืองพัทยามีฐานะเทียบเท่าเทศบาลนคร

แล้วพัทยาก็ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในช่วงหลัง พ.ศ.2528 เป็นต้นมา

"ประมาณ 10 ปีก่อนเมืองก็เป็นเมืองท่องเที่ยวแล้ว แต่ตลาดก็ยังเล็ก ๆ อะไรก็เล็ก ๆ แล้วก็ขยายออก โดยภาพของเมืองก็เจริญขึ้น โรงแรมก็แทบจะเปิดกันเป็นรายเดือด จนผมจำไม่ได้ว่ามีกี่แห่งแล้ว มีสถานบริการมากขึ้น มีบาร์มากขึ้น ผู้หญิงก็มากขึ้น ซึ่งไม่ใช่คนท้องถิ่น มาจากที่อื่นทั้งนั้น เมื่อก่อนมีตรงพัทยาใต้เท่านั้นเอง แต่เดี๋ยวนี้กระจายตามชายหาดไปจนถึงพัทยาเหนือแล้ว และออกไปทางจอมเทียนด้วย" สกนธ์ หลิมวิจิตร ผู้ใช้ชีวิตอยู่กับพัทยามานานกว่า 18 ปีเล่าถึงความเปลี่ยนแปลง

เวลานั้น เมืองเริ่มเติบโตอย่างมาก ธุรกิจน้อยใหญ่ต่างผุดขึ้นราวดอกเห็ดหน้าฝน เพราะเศรษฐกิจดีขึ้น และชื่อเสียงพัทยาติดตลาดโลกอย่างแน่นเหนียวแล้ว ในขณะที่อีกด้านหนึ่งปัญหาต่าง ๆ ที่สะสมตัวมานานก็เริ่มออกอากาศ และนั่นคือเค้าลางร้ายของพัทยา

ด้วยจำนวนโรงแรมที่เพิ่มขึ้น สถานบริการ ร้านค้า ชุมชนที่ขยายตัวออกไป ตลอดจนนักท่องเที่ยว ที่เข้ามามากขึ้นได้ก่อให้เกิดความต้องการบริโภคทุกสิ่งทุกอย่างอย่างขนานใหญ่ พร้อมกับผลิตของเสียอย่างขนาดใหญ่ด้วย

การไม่มีกรอบที่จะกำหนดและควบคุมความเติบโตของอาคารและสิ่งปลูกสร้างมีผลต่อปริมาณของเสียโดยตรง ตามพระราชบัญญัติส่งเสิมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมโรงแรมที่ต้องมีระบบจัดการน้ำเสียด้วยตนเองก็คือ โรงแรมที่มีห้องพักเกิน 80 ห้องขึ้นไป ส่วนที่เล็กกว่านี้ไม่มีการควบคุม ทั้ง ๆ ที่โรงแรมขนาดเล็กนั้นมีจำนวนมากมาย

จากรายงานของงานเคหะบริการชุมชน กองวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม วล. ได้ศึกษารวบรวมข้อมูลในเรื่องนี้ไว้เมื่อปี 2529 พบว่า จากจำนวนโรงแรมในพัทยา 191 โรง มีเพียง 18 โรงเท่านั้นเองที่มีห้องพักเกิน 80 ห้อง

ขณะที่สภาพแวดล้อมต้องเสื่อมทรามลงจากการรองรับกับของเสียต่าง ๆ ปัญหาสาธารณูปโภคขาดแคลนก็นับเป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง ทั้งในแง่น้ำใช้ที่ไม่เพียงพอและผิวการจราจรที่น้อยเกินไป

"เรื่องสาธารณูปโภคนี้ไม่ค่อยทัน อย่างผมก็ต้องซื้อน้ำแทบทุกวัน ประปามาถึงแล้วก็จริง แต่ก็มา ๆ ขาด ๆ อาจเป็นความโชคร้ายของเราก็ได้ที่อยู่บนที่สูง เวลาข้างล่างเขาใช้น้ำมาก ๆ เราก็อด น้ำใช้นี่จำเป็นมาก ช่วงที่แขกมาก ๆ ใช้น้ำวันละ 2,600 คิว ช่วงที่ตกต่ำก็ลดไปหน่อย" สกนธ์ หลิมวิจิตร ผู้จัดการฝ่ายบุคคลของโรงเรียนเอเชีย สะท้อนถึงภาวะเรื่องน้ำขาดแคลน

น้ำบาดาลที่ไดจากบ่อรอบนอกเมืองพัทยา มีสนนราคาประมาณคิวละ 30 บาท เป็นน้ำดิบที่ไม่อาจมั่นใจในความสะอาดมากนัก จำเป็นจะต้องผ่านกรรมวิธีกรอง และใส่คลอรีนเสียก่อนจึงจะเข้าขั้นที่ปลอดภัยสำหรับใช้ได้ ซึ่งเบ็ดเสร็จแล้วมีราคาเท่ากับ 3 เท่าของน้ำประปา

ในแต่ละเดือน โรงแรมเอเชียมีค่าใช้จ่ายในการซื้อและจัดการน้ำเหล่านี้มากถึงประมารกว่า 100,000 บาท เทียบกับค่าประปาแล้วคิดเป็น 2 ใน 3 ส่วน

ระบบประปาของพัทยาอยู่ในความรับผิดชอบของการประปาพัทยานาเกลือ ผลิตประปาโดยอาศัยน้ำจืดจากอ่างเก็บน้ำมาบประชันที่มีความจุประมาณ 15 ล้านลูกบาศก์เมตร ใช้อย่างเต็มที่ก็ยังไม่ค่อยเพียงพอต่อความต้องการ

เมื่อปี 2533 เกิดภาวะฝนแล้ง น้ำจืดในอ่างมาบประชันแห้งขอดทำให้มีการต่อท่อจากอ่างหนองค้อ มาช่วยทางพัทยาในยามวิกฤต แต่อ่างหนงค้อก็ต้องรองรับพื้นที่ทางแหลมฉบังและชลบุรีบางส่วนมากกว่า ในอนาคต มีโครงการที่จะนำน้ำจากอ่างหนองกลางดงห้วยซากนอก ห้วยขุนจิต และห้วยสะพานเข้ามาสมทบ ซึ่งอ่างเหล่านี้เพิ่งก่อสร้างเสร็จหรือบางแห่งก็กำลังจะเสร็จในปีต่อไป

"ที่จริงพัทยาเองมีอ่างแห่งเดียว แต่ความต้องการมันเกินมาบประชันมานานแล้ว ที่เตรียมการไว้เป็นการไปขโมยเขามาทั้งหมด ของเมืองชลบ้าง ระยองบ้าง ซึ่งต่างก็ต้องโตกันทั้งนั้น ทำไมไม่เอาของตัวเองมาใช้ดีกว่า ทำเป็นแบบ RECIRCLING เทคโนโลยีมีใช้ได้ แต่ต้องลงทุนดูแลให้ดี ทุกคนต้องร่วมกัน" รศ. สุรพล สุดารา อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้กำลังร่วมกับทีมศึกษาถึงปัญหาของพัทยาเสนอแนะ

นอกจากปัญหาเรื่องแหล่งน้ำ การที่จะมีประปาตอบสนองได้เพียงพอยังเกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตด้วย

ความต้องการน้ำของชุมชนพัทยาทั้งหมดรวมถึงพื้นที่นาเกลือและจอมเทียนมีประมาณวันละ 45,000 ลูกบาศก์เมตร ส่วนปริมาณน้ำที่การประปาจ่ายออกในแต่ละวันจะมีเพียง 30,000 - 40,000 ลูกบาศก์เมตรเท่านั้น เนื่องจากกำลังการผลิตยังจำกัดอยู่ นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะองหาทางออกต่อไป

ในระยะหลัง ๆ กล่าวได้มีความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาหลัก ๆ เหล่านี้ของเมืองพัทยานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งจากทางรัฐบาลส่วนกลางและจากเมืองพัทยาเอง แต่ก็เป็นความพยายามที่ค่อนข้างจะไร้หวัง

เกี่ยวกับปัญหาจราจร และขยะ ทางเมืองพัทยาเพิ่งจะยื่นเสนอ "โครงการเร่งด่วนเพื่อบูรณะเมืองพัทยา" ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลจำนวน 230,539,500 บาท เพื่อแก้ไขสาธารณูปโภคสาธารณูปการด้านต่าง ๆ

"เป็นการขอเงินอุดหนุนเป็นกรณีพิเศษ เสนอไป 8 โครงการผ่านกรมการปกครอง เอาเข้าไปแปรญัตติในกระทรวงมหาดไทย ผ่านวาระแรกได้มา 50 ล้านบาท ก็คิดว่าจะจัดการเรื่องซื้อที่ดินกสลบขยะก่อน เพราะถ้ายิ่งช้าที่ดินก็ยิ่งแพง" หมายเลขหนึ่งของเมืองพัทยา โสภณ เพ็ชรตระกูล เล่าถึงโครงการเร่งด่วนฉบับของเมืองพัทยาเอง

อุปสรรคในการทำงานพัฒนาประการหนึ่งของเมืองพัทยาก็คือ เรื่องงบประมาณ รายได้ปกติของเมืองนั้นจะมาจากการเก็บภาษีต่าง ๆ ในท้องถิ่นประมาณปีละ 100 ล้านบาทร่วมกับเงินงบประมาณรายปีที่ได้จากส่วนกลางอีกประมาณปีละ 35 ล้านบาท

"จำนวน 35 ล้านบาท จะเป็นค่าครุภัณฑ์ไปแล้ว 21,700,000 บาท จริง ๆ เมืองควรได้สักปีละไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท เทียบสัดส่วนจากรายได้ที่ทำให้ประเทศได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี จะได้นำมาแก้เรื่องต่าง ๆ ได้ เพราะถ้าพูดถึงการลงทุนของเอกชนแล้วมหาศาล หากรัฐไม่เอื้อเฟื้อ เมืองก็ตกที่นั่งลำบาก คนไหลมาเทมา แต่ถนนก็ไม่มีรองรับ ไม่มีท่อระบายน้ำ ไม่มีทางเดิน" พิสัย พนมวัน ณ อยุธยา สมาชิกสภาเมืองพัทยาและผู้จัดการอัลคาซ่าร์ พูดถึงข้อติดขัดในการทำงาน

เรื่องของงบประมาณมีความสัมพันธ์กับปัญหาตัวเลขประชากรที่ไม่เป็นจริงของเมืองพัทยา กล่าวคือ ในปัจจุบันจำนวนประชากรตามทะเบียนของทางการมีอยู่เพียงประมาณ 60,000 คนเท่านั้น !

และในเมื่อแบบแผนการจัดสรรงบประมาณของประเทสไทยใช้หัวประชากรเป็นดัชนีชี้วัด พัทยาก็ย่อมจะต้องโอบอุ้มประชากรแฝงอีกนับแสนคนไปด้วยเงินจำนวนที่ให้สำหรับคนจำนวนเพียง 60,000 คนต่อไป

อย่างไรก็ตาม ระบบโครงสร้างของเมืองพัทยาเองก็จัดว่าเป็นปัญหาด้วยประการหนึ่ง

ตามกฎหมายระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยาการบริหารงานราชการของเมืองพัทยาทั้งหมด ถือเป็นภาระของปลัดเมืองผู้ถูกจ้างเข้ามาในฐานะมืออาชีพในขณะที่การวางแผนขึ้นกับสภาเมืองที่มีสมาชิกมาจากทั้งการเลือกตั้งและแต่งตั้ง (9 : 8) โดยนายกแท้จริงนั้นมีหน้าที่เป็นเพียงประธานสภา ระบบนี้มีลักษณะที่เป็นแบบตะวันตกค่อนข้างสูง เน้นการบริหารโดยให้อำนาจอยู่กับคณะบุคคล ซึ่งเป็นระบบที่มีใช้เฉพาะที่เมืองพัทยาเพียงแห่งเดียว

แต่ในทางปฏิบัติ ปรากฏว่า ช่องว่างระหว่างสมาชิกาสภากับปลัดและข้าราชการของเมืองค่อนข้างจะฉีกกว้าง การประสานในขั้นของแผนกับการปฏิบัติมีความเหลื่อมกันอยู่ และแน่นอนว่า ในเรื่องนี้นั้นเกี่ยวข้องกับเกมอำนาจด้วย แม้จะมีผู้เห็นปัญหาก็ไม่ใช่เรื่องที่จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ๆ …

กลับมาถึงเรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำเสียของพัทยา ส่วนนี้จัดได้ว่าเป็นโครงการขนาดมหึมาระดับชาติเพราะคณะรัฐมนตรีชุดพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เคยได้พิจารณาเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2531 กำหนดเป็นแนวทางปฏิบัติเอาไว้ 3 ประการ คือ

1) ให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งรัดตรวจสอบและกวดขันบรรดาโรงแรมและร้านอาหารต่าง ๆ มิให้ระบายน้ำเสียและของเสียลงทะเล หากพบการกระทำผิดให้พิจารณาลงโทษตามกฎหมายถึงขั้นให้ดำเนินการปิดกิจการ

2) ให้ระงับการพิจารณาอนุญาตก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ในเขตเมืองพัทยาไว้ชั่วคราว จนกว่าจะพิจารณาเห็นว่าผู้ขออนุญาตสามารถวางระบบการกำจัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพ

3) ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการ) เร่งรัดดำเนินงานการขยายระบบการกำจัดน้ำเสียเมืองพัทยาให้สามารถรองรับปริมาณน้ำเสียได้อย่างเพียงพอทั้งระยะสั้นและระยะยาว

จากนั้น ในวันที่ 30 มกราคม 2533 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติ "แผนปฏิบัติการในการแก้ไขปัญหามลพิษของแหล่งน้ำเมืองพัทยา" ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการพลังงาน เสนอ ได้แก่ โรงบำบัดที่หาดนาจอมเทียน ในซอยวัดบุณย์ ใช้งบประมาณราว 390 ล้านบาท กำหนดเสร็จสิ้นทั้งระบบในปี 2537 จะมีกำลังบำบัด 20,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน

แผนการในอนาคตยังได้วางไว้ว่า จะเพิ่มกำลังบำบัดที่ซอยเกษมสุวรรณอีก 21,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน และสำหรับที่ชุมชนนาเกลือก็มีโครงการเสนอแล้วโดยเมืองพัทยา แต่ยังไม่เป็นที่ตกลง เพราะยังหาที่ดินก่อสร้างไม่ได้ และทางออกที่ว่าให้ถมทะเลบริเวณลานโพธิ์ก็ยังมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม แต่ถ้าที่นาเกลือสร้างได้ก็จะมีกำลังบำบัดเพิ่มขึ้นอีก 12,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน ทั้งหมดเหล่านี้มีกำหนดว่า จะเสร็จสิ้นภายในปี 2539 ใช้งบประมาณของรัฐทั้งสิ้น 2,160 ล้านบาท

หนึ่งในโครงการเร่งด่วนของ สพอ. ก็มีโครงการก่อสร้างโรงบำบัดน้ำเสียอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน โดยได้กำหนดว่า จะสร้างบนที่ที่ทำการถมทะเลบริเวณพัทยาใต้ออกไป มีกำลังบำบัด 16,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน งบประมาณส่วนนี้ไม่รวมกับส่วนแรก

เรียกว่า ถ้าทุกโครงการเป็นจิรงเมืองพัทยาก็จะสามารถบำบัดน้ำเสียได้ทั้งสิ้นวันละ 82,000 ลูกบาศก์เมตร สามารถรองรับปริมาณน้ำทิ้งทั้งหมดได้จนถึงปี 2543

"ปัญหาเรื่องน้ำเสีย นับเป็นปัญหาเร่งด่วนอันหนึ่ง แต่ก็มีโครงการแล้วที่จะสร้างโรงบำบัดขึ้น ถ้าโครงการเสร็จ เรื่องน้ำเสียก็เป็นอันหมดปัญหา" นายกเมืองพัทยา กล่าว

แต่ในทางปฏิบัติ แม้ว่าจะมีโรงบำบัดน้ำเสียแล้ว อ่าวพัทยาก็ใช่จะกลับคืนดีดังเดิมได้ หากไม่มีมาตรการประกอบอื่นมาสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นการที่เจ้าของอาคารทุกหน่วยจะต้องต่อท่อน้ำทิ้งเข้ามาสายท่อของเมือง หรือเรื่องของการจ่ายค่าบำบัดน้ำเพื่อให้ระบบสามารถเดินไปได้ เรื่องเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องการความร่วมมือจากคนพัทยาทั้งหมดเป็นสำคัญ ทว่า นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หาได้ยากนักจากเมืองพัทยา เพราะส่วนใหญ่คนที่นี่ ไม่มีใครรู้สึกเป็นเจ้าของเมืองพัทยาอย่างแท้จริง แทบทั้งหมดคือคนต่างถิ่นที่เพียงมาอาศัยทำมาหากิน

"พัทยานั้น ถ้าแก้เรื่องน้ำเสียได้ทุกอย่างจะดีขึ้นมาก ต่อมาก็แก้เรื่องความโทรมของเมืองที่มีแต่ใช้กันมานานไม่เคยบำรุงเลย ขอให้มีการปลูกต้นไม้ให้ดี ห้องแถวแบบกรุงเทพฯ โละทิ้งไปเสีย การปรับปรุงเรื่องความสวยงามไม่ใช่เรื่องยาก ที่สำคัญสำหรับชายหาด คือ เขื่อนริมชายฝั่งจะต้องรีบทุบทิ้ง เพราะนั่นคือตัวการที่ทำให้ชายหาดพัทยาสั้นกว่าปกติ เวลาที่น้ำทะเลซัดเข้ามา คลื่นกระแทกย้อนกลับก็ขุดเอาทรายออกไป ผมไม่อยากให้พัทยาเสียไป ผมถือว่าเมืองพัทยาเป็นเมืองที่ดีมาก ต้องช่วยกันรักษาไว้ให้ได้" รศ.สุรพล สุดารา เรียกร้องความร่วมมือ

ถึงวันนี้ก็ยังคงระบุไม่ได้ว่า ความหวังในการที่จะฟื้นคืนพัทยาให้กลับน่าไปยลเยือนจะเป็นจริงได้เพียงใด เพราะตัวกระตุ้นที่จะปลุกคนพัทยาได้อย่างแท้จริงนั้นยังไม่ได้แสดงบทบาทเต็มที่ นั่นก็คือ การล่มสลายของการทำมาหากิน - ความซบเซาของการท่องเที่ยว !

"ปัญหาของเมืองพัทยาเรื่องน้ำไม่เท่าไร ปัญหาใหญ่คิดว่า คือเรื่องรายได้จากการท่องเที่ยวตก รายได้จากการท่องเที่ยวขาดไป ตกมาประมาณ 6 เดือนแล้ว ซึ่งคิดว่าเป็นเรื่องของส่วนรวม อาจจะยังไม่มีสถิติตัวเลขบ่งชี้ ไม่มีผลการศึกษาเป็นเรื่องเป็นราว แต่ไปถามเอากับพ่อค้า เสียจากพวกนี้แน่นอนที่สุด บ่นว่าซบเซากันมาก" แหล่งข่าวที่เป็นข้าราชการประจำของเมืองพัทยากล่าวทั้งบอกเล่าทั้งสะท้อนปัญหา

จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนพัทยาปกติมีอัตราเพิ่มขึ้นตลอดมา ระหว่างปี 2525 - 2530 อัตราเฉลี่ยนั้นเท่ากับ 6.3% ต่อปี แต่ในปี 2532 จำนวนนักท่องเที่ยวกลับลดน้อยลงกว่าปี 2531 ถึง 9.58% และแม้ว่าในปี 2533 จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันว่า บรรยากาศการท่องเที่ยวในรอบปีหลัง ๆ นี้มีความซบเซาเกิดขึ้นจริง

อย่างไรก็ตาม เจ้าของกิจการส่วนใหญ่ กล่าวว่า ภาวะที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งถือเป็นกระแสโดยส่วนรวมระดับโลกที่ประสบกับภัยสงคราม และปัญหาเศรษฐกิจ ตลอดจนสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศเองก็ไม่สู้ดีนักในสายตาชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่สำคัญของพัทยา ไม่น่าจะเกิดจากปัญหาของตัวเมืองพัทยาเอง จะมีก็แต่การที่ต้องแย่งชิงลูกค้าจากกันและกัน เนื่องจากในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา การขยายตัวของธุรกิจต่าง ๆ มีสูงมากในขณะที่ตลาดเท่าเดิม

จากสถิติของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในปี 2531 มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าพักในพัทยา 1,727,025 คน (ไม่รวมนักท่องเที่ยวที่ไป-กลับในวันเดียว) ขณะนั้นจำนวนห้องพักในโรงแรมต่าง ๆ มีรวมกันประมาณ 12,000 ห้อง แต่ปัจจุบันจำนวนห้องพักเพิ่มไปถึง 24,000 ห้องทั้งที่จำนวนนักท่องเที่ยวเมื่อปี 2533 ยังคงมีประมาณ 1,757,000 คน

"มันเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ว่าน้ำเหยือกเดียวแก้วหลายใบ การขยายตัวทุกอย่าง มีลักษณะที่เป็นแก้วน้ำเข้ามาแบ่งน้ำจากเหยือกเดียว ภัตตาคารก็มากขึ้น ร้อนช็อปปิ้งมากขึ้น แม้แต่ร้านขายผลไม้ก็มากขึ้น ทุกคนจึงบ่งว่าตัวเองตก แต่ถ้าดูแขกจริง ๆ แล้วเข้ามามาก จำนวนรวมนักท่องเที่ยวและรายได้ต่าง ๆ ไม่ตกเท่าไร" สุรพล เศวตเศรนี ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวฯ สำนักงานพัทยา กล่าวกับ "ผู้จัดการ"

ส่วน สกนธ์ หลิมวิจิตร ผู้จัดการฝ่ายบุคคลของโรงแรมเอเชีย กล่าวว่า "คนมาเยอะจริง จำนวนไม่ลดลง เพราะตอนนี้สภาพที่เสีย ๆ ก็ไม่เด่นชัดอะไร คนก็มองว่าเมืองท่องเที่ยว เมืองตากอากาศ มาจากต่างประเทศก็อยากมาเล่นน้ำ มาชมธรรมชาติ ทีนี้บ้านเราทำเป็นลักษณะมาขาย SEX เป็นพวกนั้นไป มีแต่บาร์เยอะแยะ มีแต่พวกนี้ พวกนี้แขกคนละประเภทกัน พวกนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ชายทะเล ต่อให้อยู่ที่ไหนคนที่เขาต้องการก็ไป การมาอยู่ที่ชายทะเลหมักหมมอยู่ที่นี่ทำให้แขกพวกแรกหนี แขกเป็นคนละกลุ่มก็เปลี่ยนไป และมาแล้วมาเจอสภาพก็จะเล่าปากต่อปาก อนาคตมันจะมีผล ตอนนี้อาจจะไม่มีผลหรอกครับ"

การตกต่ำลงของการท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่ไม่มีหลักฐานยืนยัน นอกจากความรู้สึกถึงบรรยากาศโดยรวมว่าเป็นเช่นนั้น ในทำนองเดียวกัน สาเหตุของการตกต่ำเกิดมาจากอะไรบ้างก็ไม่อาจระบุได้อย่างชัดเจน

ก็คงจะมีเพียงความเสื่อมทรามของสภาพแวดล้อมและปัญหาสารพันเท่านั้นที่เป็นจริงอยู่ ณ เมืองพัทยาอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ !

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us