Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน23 กรกฎาคม 2551
ตลาดหุ้นซึมวอลุ่มแค่หมื่นล. โบรกจี้จับตาคดีนักการเมือง             
 


   
search resources

Stock Exchange




นักลงทุนแห่ขายหุ้นเก็งกำไรกดดันตลาดหุ้นไทยซบเซา วอลุ่มบางเฉียบแค่ 1.1 หมื่นล้านบาท ด้านบล.ไซรัส เชื่อนักลงทุนต่างชาติหยุดทิ้งหุ้นหากดัชนีลดถึงระดับ 650 จุด แต่เตือนให้จับตาคดีทางการเมืองในช่วง 3 เดือนนับจากนี้ พร้อมคาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปทำสถิติสูงสุดในเดือนส.ค.นี้ที่ 13% แนะลงทุน 5 หุ้นชนะเงินเฟ้อ

ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (22 ก.ค.) นักลงทุนได้เทขายหุ้นออกมาเพื่อทำกำไรหลังจากดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเปิดตลาดในภาคเช้า โดยดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 694.90 จุด ก่อนจะปิดที่จุดต่ำสุด 682.15 จุด ปรับตัวลดลง 5.15 จุด หรือลดลง0.75% มูลค่าการซื้อขาย 11,243.61 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 512.39 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 604.10 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 91.71 ล้านบาท

นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ หลักทรัพย์ (บล.)ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ SYRUS เปิดเผยถึง แนวโน้มการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า บริษัทคาดนักลงทุนต่างชาติจะมีการชะลอการขายหุ้นไทยออกมาหากดัชนีอยู่ที่ระดับ 650 จุด เพราะจากการประเมินการซื้อสุทธิสะสมของนักลงทุนต่างชาติในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2548-2550) อยู่ที่ 183,735 ล้านบาท มีต้นทุนดัชนีรวมกับประโยชน์จากค่าเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 649.17 จุด

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติคงจะไม่ขายหุ้นออกมาในระดับดัชนีที่ขาดทุน และดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาจากช่วงสูงสุดในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 25% และปรับตัวลดลง 21% จากต้นปี ซึ่งถือว่าปรับตัวลดลงมามากกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค โดยจากการที่ดัชนีปรับตัวลดลงมามากและราคาหุ้นไทยถูกมีค่า P/E เพียง 10 เท่า เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาค

สำหรับผลกระทบจากราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นนั้น แม้ว่าจะส่งผลต่อต้นทุนการดำเนินงานของบริษัท แต่ในปีนี้บริษัทจดทะเบียนน่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิที่ระดับ 13.8% ซึ่งสูงกว่าตลาดหุ้นในแถบเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่มสื่อสาร ค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์ ดังนั้นจึงถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะมีการเลือกซื้อลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี

นางสาวจิตรา กล่าวเพิ่มเติมว่า นักลงทุนควรที่จะระมัดระวังในการลงทุนในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองจะมีผลกระทบการลงทุน เพราะจะมีการพิจารณาคดีการเมืองหลายคดี ทั้งคดีของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี 2-3 คดี แต่ที่บริษัทมีความกังวลในเรื่องคดีของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่จะส่งผลต่อไปจนมีการยุบพรรคพลังประชาชน

"การยุบสภาน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดของของรัฐบาล เพื่อลดความรุนแรงของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาทางการเมือง เพราะการเมืองไทยถือว่ามีความอ่อนแอ คือ ประชาชน 20,000 คน สามารถลงชื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรีได้ และศาลมีอำนาจถอดถอนรัฐบาลเช่นกัน ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลสมัยต่อไป

สำหรับบริษัทคาดเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้จะสูงสุดในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ระดับ 13% จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ราคาอาหารมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อฟื้นฐานอยู่ที่ 5% ซึ่งสูงกว่ากรอบของธนาคารแห่งประเทศไทยที่วางไว้ที่ 0-3.5% ส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องมีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้อีก 0.25% จากการประชุมที่จะมีขึ้นในอีกนี้อีก 3 ครั้ง เพื่อเป็นลดการคาดการณ์ที่กังวลเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และช่วยให้ประชาชนมีการลดใช้น้ำมัน ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น

อย่างไรก็ตาม บริษัทแนะนำลงทุนใน5 หลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อ คือ บริษัท น้ำประปาไทย จำกัด (มหาชน)หรือ TTW บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน)หรือ BEC บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)หรือ PTTEP บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TSTH บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TVO

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย ) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเนื่องจาก นักลงทุนมีการขายทำกำไรออกมาหลังจากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 30 จุด จากจุดต่ำสุดปีนี้ (18 ก.ค.51) ต่อเนื่องจาก วันจันทร์ที่ผ่านมาที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมา 27 จุด แต่ดัชนีปรับตัวลดลงไม่มาก เพราะนักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อรอดูมาตรการของรัฐบาล โดยเฉพาะการที่กระทรวงการคลังที่จะมีการปรับลดภาษีนิติบุคคล ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายเบาบางเหลือ 1.1 หมื่นล้านบาท จากวันจันทร์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท

สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (23 ก.ค.) ต้องติดตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาล ปัจจัยทางการเมือง ซึ่งหากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 680 จุด ได้มีการโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวต่อที่ระดับ 695 จุด ได้ ก็จะมีแรงขายออกมาระยะสั้น   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us