Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2534








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2534
เปิดรูรั่วกฎหมาย ประกันภัยบุคคลที่ 3             
 


   
search resources

Vehicle
Law




ในปัจจุบันการชดใช้ค่าเสียหายทางร่างกาย เนื่องมาจากอุบัติเหตุทางยานยนต์ตามระบบกฎหมายไทย จะวางอยู่บนหลักกฎหมายละเมิดกับแหล่งค่าสินไหมทดแทนอื่น ๆ อาทิ สัญญารับขนคนโดยสาร การประกันภัย หรือกฎหมายคุ้มครองแรงงานก็ตาม แต่โดยเหตุที่การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามแหล่งอื่น ๆ ก็มีขอบเขตการใช้บังคับและการคุ้มครองอยู่ในวงจำกัด

กล่าวคือ ความรับผิดตามบทบัญญัติกฎหมาย ว่าด้วยสัญญารับขนคนโดยสารใช้บังคับเฉพาะผู้เสียหายที่เป็นผู้โดยสารยานยต์ของผู้รับขนคนโดยสารเพื่อสินจ้างเท่านั้น

การประกันภัย ไม่ว่าจะเป็นการประกันชีวิต หรือการประกันภัยเพื่อความรับผิดของบุคคลภายนอกก็ยังไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายเท่าที่ควร ทั้งยังมีข้อยกเว้นที่ผู้รับประกันภัยไม่ต้องับผิดต่อบุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหายอีกหลายประการ

ส่วนกฎหมายคุ้มครองแรงงานเกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทนก็มีขอบเขตการคุ้มครองเฉพาะตัวลูกจ้าง และลูกจ้างนั้นก็ต้องมิใช่ลูกจ้างของส่วนราชการ หรือกิจการอื่นที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด

นอกจากนี้ การที่ลูกจ้างจะได้รับเงินค่าทดแทน ก็ต่อเมื่อต้องระสบอุบัติเหตุเท่านั้น อันเนื่องมาจากการทำงานแม้กฎหมายจะมีการจัดตั้งกองทุนเงินทดแทนขึ้น แต่การกำหนดให้นายจ้างจ่ายเงินสมทบกองทุนนี้ก็มีขอบเขตจำกัด

ด้วยเหตุนี้ กฎหมายแพ่งลักษณะละเมิด จึงยังเป็นกฎหมายหลักที่ใช้บังคับกับอุบัติเหตุทางรถยนต์ของประเทศไทยในปัจจุบัน ส่วนแหล่งค่าสินไหมทดแทนอื่น ๆ ที่จะมาคุ้มครองผู้เสียหายนั้นยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร

ในส่วนของความรับผิดตามกฎหมายลักษณะละเมิดวางอยู่บนพื้นฐานของความจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ ผู้ทำละเมิดไม่สามารถชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายได้ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะผู้รับผิดหลบหนีไป เป็นต้น อันทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือได้รับน้อยกว่าที่ควร

นอกจากนี้ แม้ผู้เสียหายจะได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนก็อาจจะเป็นไปโดยล่าช้า อันสืบเนื่องมาจากการฟ้องร้องคดีในศาล

จากเหตุผลดังกล่าวนี้ ในต่างประเทศจึงได้มีการพัฒนากฎหมายเกี่ยวกับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เพื่อความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ขึ้น โดยแบ่งการพัฒนาออกเป็น 3 ขั้นตอนด้วยกัน คือ ขั้นตอนแรก การปรับปรุงกฎหมายลักษณะละเมิดเดิม ขั้นตอนที่ 2 เป็นการออกกฎหมาย ซึ่งมีผลเป็นการประกันว่าผู้ก่อความเสียหายสามารถชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ ซึ่งก็ได้แก่ กฎหมายที่บังคับให้ประกันภัยความรับผิดทางละเมิดที่เกิดจากรถยนต์ (COMPULSORY AUTOMOBILE LIABILITY INSURANCE) โดยกำหนดให้เจ้าของหรือผู้ขับรถยนต์วางหลักประกัน ซึ่งปกติได้แก่กรมธรรม์ประกันภัย เพื่อประกันการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เสียหาย

และขั้นตอนที่ 3 คือ การออกกฎหมาย ซึ่งกำหนดให้เจ้าของหรือผู้ขับขี่ยานยนต์เอาประกันภัยความสูญเสียเพื่อให้ผู้รับประกันจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย โดยไม่คำนึงถึงความผิดและกำหนดระยะเวลาในการให้ชำระค่าสิไหมทดแทนในเวลาอันรวดเร็ว

ในขั้นตอนที่ 3 นี้ ผู้เสียหายอันเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เกือบทุกราย จะได้รับการเยียวยาเบื้องต้นตามรูปแบบที่กฎหมายได้กำหนดไว้

ปัจจุบัน ผู้เสียหายในประเทศไทยก็ประสบปัญหาเกี่ยวกับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน อันเนื่องจากอุบัติเหตุทางยานยนต์เช่นเดียวกับนานาประเทศ กล่าวคือมีปัญหาเรื่องผู้เสียหายไม่ได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือได้รับน้อยกว่าที่ควร และปัญหาผู้เสียหายได้รับค่าสินไหมทดแทนล่าช้า

สำนักงานประกันภัย กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทย จึงมีนโยบายร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จึงเกิดขึ้นมาโดยมีลักษณะเป็นการประกันความสูญเสีย เพื่อชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลที่สาม และจัดตั้งกองทุนประกันภัยยานยนต์ เพื่อส่งเสริมโครงสร้างการประกันภัยดังกล่าว โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังต่อไปนี้

1. ร่างพระราชบัญญัตินี้ เป็นกฎหมายที่บังคับให้มีการประกันภัยความรับผิดกล่าวคือ เจ้าของรถจะต้องจัดให้มีหลักประกันสำหรับผู้ประสบภัย โดยการประกันภัยกับบริษัทประกันภัยหรือจะวางหลักทรัพย์เป็นเงินสด พันธบัตรรัฐบาลไทยหรือทรัพย์สินอื่นตามที่กำหนดในประเทศกระทรวงต่อนายทะเบียนก็ได้ 2. 2. บุคคลแทบทุกคนที่ได้รับความเสียหายจะมีสิทธิได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นตามร่างพระราชบัญญัตินี้ แต่อย่างไรก็ตามก็จะไม่รวมถึงเจ้าของรถ ผู้ขับขี่รถ คนงาน หรือลูกจ้างประจำรถที่อยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งอยู่ในรถคันที่ก่อให้เกิดความเสียหาย ในจุดนี้ผู้ร่างอาจจะเห็นว่า มีกฎหมายแรงงานคุ้มครองอยู่ แต่ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น กฎหมายแรงงานก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่หลายประการ อันทำให้ลูกจ้างหรือคนงานก็ยังมิได้รับการเยี่ยวยาความเสียหายขั้นต้นตามร่างพระราชบัญญัตินี้

3. ในกรณีที่ความเสียหายเกิดจากรถ ให้เจ้าของรถ บริษัทประกัน หรือนายทะเบียนแล้วแต่กรณี ชดใช้ความเสียหายเบื้องต้นให้กับผู้ประสบภัยโดยมิต้องพิสูจน์ความผิด โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นความผิดของผู้ประสบภัยเองหรือผู้ประสบภัยมีส่วนประมาทอยู่ด้วยหรือไม่

4. ค่าเสียหายที่จะได้รับตามร่างพระราชบัญญัตินี้ เป็นเพียงค่าเสียหายเบื้องต้นเท่านั้น อันได้แก่ ค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายระหว่างการรักษาพยาบาล และค่าปลงศพ เรื่องนี้เห็นได้ว่ากฎหมายมิได้เปลี่ยนแปลงระบบการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเดิม ซึ่งมีกฎหมายลักษณะละเมิดเป็นพื้นฐานโดยเป็นเพียงการคุ้มครองในเบื้องต้นเท่านั้น หมายความว่า ค่าเสียหายในส่วนอื่น ๆ อาทิเช่น ค่าอุปการะเลี้ยงดู ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ ค่าเสียหายอันมิได้เป็นตัวเงิน ยังคงต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อยู่ตามเดิม

5. เจ้าของรถ บริษัทประกันภัย นายทะเบียน จะต้องชำระค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัยให้เสร็จภายใน 7 วัน นับแต่มีคำขอจากผู้ประสบภัย และผู้ที่ชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัยก็มีสิทธิไปไล่เบี้ยเอากับบุคคลผู้ต้องรับผิดได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือในกรณีที่เจ้าของรถคันที่ก่อให้เกิดความเสียหายมิได้จัดให้มีหลักประกันและไม่ชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้นไม่ครบจำนวน หรือในกรณีที่รถถูกโจรกรรมและเจ้าของรถได้ไปร้องทุกข์ต่อพนังกานสอบสวนไปก่อให้เกิดความเสียหาย ผู้ประสบภัยก็สามารถเรียกค่าเสียหายเบื้องต้นได้จากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยได้

6. บทกำหนดโทษของเจ้าของรถที่มิได้จัดให้มีประกัน โดยกำหนดไว้แต่เพียงโทษปรับ คือ ปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท ดังนั้นเพื่อให้มีการจัดให้มีประกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กฎหมายน่าจะถือว่า การจัดให้มีหลักประกันเป็นเงื่อนไขของการจดทะเบียนยานยนต์ประจำปี คือ หากเจ้าของรถไม่สามารถแสดงกรมธรรม์ประกันภัยต่อเจ้าหน้าที่ได้ก็จะไม่รับการจดทะเบียนยานยนต์ซึ่งต่อมาหากพบว่า ยานยนต์ใดไม่ได้จดทะเบียนก็ควรดำเนินคดีอาญากับเจ้าของ หรือผู้ขับขี่ และเพิกถอนใบทะเบียนยานยนต์ รวมทั้งใบอนุญาตขับขี่เพื่อขจัดยานยนต์ที่เจ้าของไม่พร้อมที่จะชดใช้ความเสียหายให้กับผู้ใดได้ออกไปจากท้องถนน

อย่างไรก็ดี แม้กฎหมายฉบับนี้จะมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่ก็เป็นนิมิตหมายอันดีที่สิทธิของผู้ใช้รถใช้ถนนจะได้รับความคุ้มครองมากยิ่งขึ้น

เรื่องโดย คมกฤช เกียรติดุริยกุล

สำนักงานกฎหมายสนองตู้จินดา

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us