|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
วงการกองทุนลุ้นครึ่งปีหลัง ธุรกิจกองทุนรวมขยายตัวต่อ "มาริษ" ยังมั่นใจทั้งปีโต 15-20% โดยได้กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นเป็นพระเอก ตามแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น ด้าน "วนา" ชี้ แม้แบงก์จะขึ้นดอกเบี้ยต่อ แต่พันธบัตรรัฐบาลก็น่าจะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ขณะที่พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ส่วนค่าย "กรุงไทย" หารือปรับแผนครึ่งปีหลัง เน้นเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนใหม่ๆ ตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุน
นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปีนี้ยังมองการเติบโตของอุตสาหกรรมกองทุนรวมที่ระดับ 15-20% แม้ในตลาดครึ่งปีแรกจะโตเพียง 0.9% ก็ตาม เพราะมีหลายกองทุนโดยเฉพาะประเภทตราสารหนี้ระยะสั้นนั้น ครบกำหนดการปิดกอง (โรลโอเวอร์) เป็นจำนวนมาก ขณะที่ภาวะตลาดโดยรวมไม่ดี ผู้ลงทุนส่วนใหญ่จะก็หันมาสนใจในกองที่มีการซื้อขายระยะสั้นมากขึ้น เพราะไม่ต้องการความเสี่ยงยาว อีกทั้งยังมองว่า แม้ขณะนี้เทรนด์ดอกเบี้ยกำลังขึ้น แต่การซื้อกองทุนก็ยังได้อัตราผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ดี
ทั้งนี้ บริษัทจะไม่มีการปรับลดเป้าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (เอยูเอ็ม) ของปี 2551 ตามภาวะตลาดที่อ่อนตัวลงอย่างแน่นอน เนื่องจากเป้าที่ตั้งไว้ 2.06 แสนล้านบาท แต่ขณะนี้บริษัทมีเอยูเอ็มอยู่ที่ 1.96 แสนล้านบาทแล้ว ซึ่งตัวเลขปัจจุบันกับเป้าที่ตั้งไว้ไม่ได้หมายห่างกันมาก ซึ่งถ้าจะปรับเอยูเอ็ม น่าจะเป็นการปรับเป้าขึ้นมากกว่า แต่ตอนนี้ยังมองการเติบโตของบริษัทแบบอนุรักษ์นิยมมากกว่า และปัจจุบันบริษัทจะเฉลี่ยออกกองทุนใหม่เดือนละ 12 กอง ซึ่งส่วนหนึ่งจะมาจากกองทุนที่ครบอายุเวลาและต้องเปิดใหม่
สำหรับกรณีที่มีการประเมินกันว่ากองทุนอสังหาริมทรัพย์อาจจะไม่ได้รับการความนิยมจากผู้ลงทุนอย่างที่ผ่านมานั้น นายมาริษ ให้ความเห็นเรื่องดังกล่าวว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ เนื่องจากแนวโน้มของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ผลตอบแทนจากการลงทุนยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดีอยู่ เฉลี่ยอยู่ที่ 7-8%
“ความนิยมของกองทุนอสังหาฯ ขึ้นอยู่กับ บลจ.นั้น ว่ามีการคัดเลือกสินทรัพย์มาบริหารอย่างไรมากกว่า อีกทั้งแต่ละบริษัทสามารถบริหารและให้ผลตอบแทนกับผู้ลงทุนอย่างไร ขณะที่ยังมีสินทรัพย์อสังหาฯ อีกมากที่น่าสนใจให้เข้าไปทำกองทุน” นายมาริษกล่าว
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี (ไทย) กล่าวว่า แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมกองทุนรวมในครึ่งปีหลังน่าจะโตได้ 20% และน่าจะทำให้ภาพทั้งปีเติบโต 10% จากครึ่งปีแรกเติบโตค่อนข้างน้อยมาก เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันเงินไหลออกไปอยู่ในระบบเงินฝากธนาคารพาณิชย์ค่อนข้างมาก
“ภาพครึ่งปีแรกลงทุนในพันธบัตรก็ได้ดอกเบี้ยลดลง แต่แบงก์เพิ่มดอกเบี้ยเงินฝากก็ทำให้เงินไหลออกจากกองทุนรวม ครึ่งปีแรกเลยไม่โต แต่ครึ่งปีหลังแนวโน้มน่าจะดีขึ้น แม้แบงก์จะขึ้นดอกเบี้ย แต่พันธบัตรรัฐก็น่าจะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นด้วย อีกทั้งพ.ร.บ.ประกันเงินฝากที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้เดือนส.ค.นี้ แม้จะเป็นจุดเริ่มต้นแต่เชื่อว่าจะทำให้ผู้ลงทุนเริ่มขยับหาช่องทางลงทุนใหม่ๆ ทำให้มองว่ากองทุนพันธบัตรัฐบาล ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำก็น่าจะได้ผลดีจากส่วนนี้”นายวนา กล่าว
กรุงไทยหารือปรับแผนครึ่งปีหลัง
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการทบทวนแผนงานในช่วงครึ่งปีหลังใหม่ หลังจากในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา ธุรกิจกองทุนรวมเติบโตได้เพียงเล็กน้อยโดยทั้งอุตสาหกรรมขยายตัวประมาณ 0.93% เท่านั้น ซึ่งหากมองถึงการขยายตัวทั้งปีนี้ อาจจะไม่ถึง 20% อย่างที่คาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่ต้นปี
โดยสาเหตุหลักมาจากการขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากเพื่อระดมเงินของธนาคารพาณิชย์ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี ขณะเดียวกันปีที่แล้วมีกองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในตั๋ว ECP (ตราสารทางการเงินของสถาบันการเงินในต่างประเทศ) ออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งทยอยครบอายุอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในเดือนนี้ ทำให้บริษัทจัดการบางบริษัทมีสินทรัพย์รวมติดลบ ส่งผลต่อถึงเงินลงทุนโดยรวมทั้งระบบไม่โตตามไปด้วย
ทั้งนี้ ในส่วนของบลจ.กรุงไทยเอง สามารถออกกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้มาชดเชยกองทุน ECP ที่ทยอยครอบอายุ แต่ก็ไม่สูงมากนักทำให้ช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา บริษัทมีสินทรัพย์ติดลบไปประมาณ 7,000 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม การปรับลดดังกล่าวมาจากหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหุ้นที่ลดลงตามการปรับตัวของตลาดหลักทรัพย์ที่ลดลงไปแล้วประมาณ 20% รวมถึงการเทคโพรฟิตในกองทุนอื่นๆ ด้วย
"เราออกกองทุนพันธบัตรเกาหลีมาแล้วประมาณ 8-9 กองทุน ซึ่งมียอดระดมทุนได้ประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท แต่เราก็เสียกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของการไฟฟ้ามูลค่าประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาทไป รวมถึงการครบอายุของกองทุน ECP และหารหดตัวของกองทุนหุ้นตามภาวะตลาด ก็เลยทำให้โดยรวมแล้วยังติดลบอยู่ อย่างไรก็ตาม ทั้งปีนี้ เราคาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท"นายสมชัยกล่าว
สำหรับพ.ร.บ คุ้มครองเงินฝาก ที่จะมีผลบังคับใชในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ นายสมชัยกล่าวว่า ในปีนี้คงยังไม่เห็นผลมากนัก เพราะยังคงคุ้มครองเต็มจำนวนอยู่ ซึ่งหากถึงเวลานั้น ธนาคารพาณิชย์เองก็อาจจะใช่กลยุทธ์ขึ้นดอกเบี้ยดึงเงินเอาไว้ก็ได้ เช่น ธนาคารพาณิชย์ต่างชาติ ที่อาจจะสามารถให้ดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าตามดอกเบี้ยในต่างประเทศหากมีต้นทุนถูกกว่าแต่อย่างไรก็ยังเชื่อว่าในแง่ของธุรกิจกองทุนรวมน่าจะได้รับความสนใจจากผู้ฝากเงินมากขึ้น
ในส่วนของบลจ.กรุงไทยเอง ที่ผ่านมามีการหารือกับธนาคารกรุงไทยซึ่งเป็นบริษัทแม่ในการให้นโยบายเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับพ.ร.บ คุ้มครองเงินฝากอยู่แล้ว โดยเราเองมีกองทุนคุ้มครองเงินต้นที่ผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้โดยไม่จำกัด แต่ในระยะต่อไปก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องคิดหาผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนใหม่ๆ ที่มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุนได้
|
|
|
|
|