กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เตรียม ลดเงินฝากธนาคารพาณิชย์เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุน
หลังจาก ดอกเบี้ยลดต่อเนื่อง จนดอกเบี้ยแท้จริงหลังหักเงินเฟ้อ ติดลบแล้ว โดยจะลงทุนตราสารหนี้เพิ่มขึ้น
แม้ผลตอบแทนตราสารหนี้ขณะนี้ จะเพียง 2% ต่อปีก็ตาม เลขาฯ กบข.ยอมรับการบริหารกองทุนช่วงนี้ค่อนข้างลำบาก
กบข. ซื้อกองทุนวายุภักษ์ไม่ได้ เหตุติดปัญหาเพดาน สูงสุดตามกฎหมายที่ให้ กบข.
ลงทุนหุ้นได้ไม่เกิน 20% ของกองทุนฯ แนะรัฐบาลเร่งผลักดัน บจ. ใหม่ต่อเนื่อง เพื่อให้ตลาดหุ้นไทย
ขยาย ตัวยั่งยืน
ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ปรับพอร์ตลงทุนกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท ลดเงินฝากในแบงก์ท่ามกลางดอกเบี้ยแท้จริงติดลบ
เพิ่มพอร์ตลงทุน หุ้น-ตราสารหนี้ ขณะที่บล.โกลเบล็กซ์คาดกระทิงยังเดินหน้าขวิดตลาดฯ
เป้าหมายระยะกลาง 550-551 จุด
"อัตราผลตอบแทนของกองทุน กบข. ณ สิ้นมิถุนายน อยู่ที่ 10% ซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา
เนื่องจากได้รับผลดีจากการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้น ที่กองทุนถืออยู่ และการที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ
ทำให้อัตรา ผลตอบแทนการลงทุนตราสารเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ NAV (มูลค่าสินทรัพย์ สุทธิ)
สูงขึ้นตาม" นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการ กบข. กล่าว
คาด กบข. ฟันกำไรปีนี้ 6%
อย่างไรก็ตาม ปีนี้การลงทุน หุ้นทุนคาดจะให้ผลตอบแทนดี ซึ่งปัจจุบัน กองทุนฯลงทุนหุ้นประมาณ
11-12% ของมูลค่ารวมกองทุนฯ ซึ่ง ณ 30 มี.ค. มูลค่าสินทรัพย์สุทธิกบข.203,180.99
ล้านบาท ขณะที่ตามกฎหมาย กบข. ลงทุนได้สูงถึง 20% ส่วนการลงทุน ตราสารหนี้ ผลตอบแทนทั้งปีนี้
คาดจะลดจากปีก่อนที่อยู่ที่ 5-6%
การคัดเลือกการลงทุนตรา สารหนี้ ต้องลงทุนตราสารที่จัดอันดับเครดิตที่ดีเรื่องบรรษัทภิบาล
ที่ผ่านมา ความต้องการจะลงทุนตราสารหนี้มากขึ้น เพราะเมื่อเสนอ ขาย จะมีความต้องการตราสารที่จัดอันดับเครดิตดีสูงถึง
5-6 เท่าของมูลค่าซื้อขาย
ส่วนการลงทุนกองทุนวายุภักษ์ ขณะนี้ กบข.อยู่ระหว่างพิจารณายังไม่ได้ตัดสินว่า
จะลงทุนหรือไม่ เนื่องจากเป็นการตัดสินใจลงทุน ต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกองทุนฯ
อาจติดข้อกำหนดตามกฎหมาย ที่ต้องลงทุนหุ้น เพียง 20% ของขนาดกองทุน กบข. ซึ่งปัจจุบันประมาณ
2 แสนล้านบาท ซึ่งปัจจุบันลงทุนหุ้น 11-12% ก็ถือว่าสูงแล้ว
นอกจากนี้ กองทุนฯ ร่วมลงทุนหลายกองทุน ได้แก่ กองทุนสร้างโอกาส (Thai Opportunity
Fund) กองทุนไทยทวีทุนที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนน่าพอใจ
แนะรัฐบาลเพิ่ม บจ. ใหม่กันหุ้นร้อน
นายวิสิฐกล่าวเตือนนักลงทุนในภาวะที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นร้อนแรงขณะนี้ว่า
ให้นักลงทุนระวังเงินต่างชาติจะไหลออกตลาดฯ เพราะดัชนีปรับตัวขึ้นมาก ขณะที่มูลค่าตลาดรวม
(มาร์เกตแคป) ยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก จะทำให้ราคาหุ้นแพงขึ้น
รัฐบาลควรจะผลักดันให้บริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้นต่อเนื่อง
เพื่อ ทำให้การปรับตัวขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทยยั่งยืน เขากล่าวว่า การปรับตัวขึ้นร้อนแรงของดัชนีหุ้นปัจจุบัน
เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย ที่ยังโดดเด่นเมื่อเทียบภูมิภาคเดียวกัน
ทำให้นักลงทุนต่างประเทศเทน้ำหนักการลงทุนมาตลาดหุ้นไทย นอกจากนั้น ยังได้รับแรง
หนุนจากหุ้นขนาดใหญ่ ส่งผลตลาดฯปรับตัวขึ้น ได้ต่อเนื่อง
การลงทุนในภาวะตลาดฯ อย่างนี้น่าจะเลือก ลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี และให้เงินปันผลที่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ
คือในระดับ 3-4% ที่สำคัญที่สุด ต้องไม่โลภมาก เพราะจะทำให้เราเป็นคนสุดท้ายที่ขายหุ้นออกมา
เขาแนะนำ
ตลท. ปรับพอร์ตลงทุนหุ้น-ตราสารหนี้เพิ่ม
ด้านนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการ และผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
กล่าวว่าปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์มีเงินกองทุน 1.3 หมื่นล้านบาท ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
ปรับสัดส่วน เงินฝากกับธนาคารพาณิชย์ลง จากเดิมที่ตลาด หลักทรัพย์มีเงินฝากธนาคารพาณิชย์
80% เหลือ 60% และ 20% ลงทุนตราสารหนี้ อีก 20% ลงทุน ในตลาดหุ้น ปัจจุบันการลงทุนแต่ละชนิด
ให้ผลตอบแทนน่าพอใจ
สาเหตุที่ตลาดหลักทรัพย์ปรับสัดส่วนพอร์ต ลงทุน เนื่องจากมองว่า การฝากเงิน ผลตอบแทน
ไม่สูง จำนวนเงินที่ ตลท. มีอยู่ สามารถบริหาร เพื่อสร้างผลตอบแทนสูงขึ้นได้ ขณะนี้ยังไม่มีแนวคิดจะปรับสัดส่วนใหม่
แม้ผลตอบแทนจาก การฝากเงินจะต่ำ
คาดกำไรไตรมาส 2 แบงก์-บล.ฉลุย
ทางด้านนายธวัชชัย อัศวพรไชย นักวิเคราะห์ บล. โกลเบล็กซ์ กล่าวว่าผลประกอบการไตรมาส
2 กลุ่มบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ และธนาคารพาณิชย์ ที่กำลังจะประกาศ คาดว่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น
คาดจะดึงดูดนักลงทุนกลับเข้า มาเก็งกำไรระยะสั้น โดยเฉพาะหุ้นบริษัทหลักทรัพย์
ดัชนีกลุ่มไฟแนนซ์ หากวิเคราะห์ทางเทคนิค ยังเป็นแนวโน้มขาขึ้น แนวต้านระยะสั้น
1,305 จุด แนวรับ 1,200 จุด กลุ่มธนาคารมีโอกาส ทดสอบแนวต้านที่สูงสุด 2 รอบ (Double
top) ที่ 216.17 และ 211.71 จุด
ขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากแท้จริง หลังหักเงิน เฟ้อ (Real interest) ติดลบ เป็นแรงกดดันปริมาณเงินออม
โดยเฉพาะสภาพคล่องส่วนเกิน ในระบบการเงิน ต้องปรับตัวเพื่อหาผลตอบแทน สูงขึ้น ปัจจุบันการเพิ่มช่องทางหรือทางเลือกเงิน
ออม มากขึ้นโดยเฉพาะกองทุนวายุภักษ์ที่รัฐบาล ตั้งรองรับเงินดังกล่าว เป็นผลบวกจิตวิทยาต่อการลงทุนในตลาดฯ
หากเทียบผลตอบแทนเงิน ปันผลหุ้นที่จ่ายปันผล คิดรวมกำไรที่โตขึ้นปีนี้ ยังจูงใจลงทุนเพื่อหวังเงินปันผล
รวมถึงนักลงทุน ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิโดยรวมต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยบวกจิตวิทยาการลงทุน
กระทิงเดินหน้าชน 551 จุด
ด้านเทคนิค เขากล่าวว่า ระยะสั้นการเก็งกำไรจะยึดตามกรอบแนวรับขาขึ้น ดัชนีหุ้นไทย
482 จุด แนวต้านสำคัญ 496 จุด การผ่านยืนขึ้นมา จะมีแนวต้านเป้าหมายจุดสูงเดิม
551 จุด ขณะที่มูลค่าซื้อขายยังเป็นสัญญาณชี้นำดัชนี นั่นคือ มูลค่าซื้อขายต้องเป็นไปตามแนวโน้มการผ่านยืนแนวต้านหลักๆ
ที่สำคัญสัปดาห์นี้ ที่ 496 และ 502 จุด ควรจะมีมูลค่าซื้อขายมากระดับ 3 หมื่นล้านบาท