Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน10 กรกฎาคม 2551
TPIPLฟุ้งรีไฟแนนซ์หมดปีนี้             
 


   
www resources

โฮมเพจ ทีพีไอโพลีน

   
search resources

ทีพีไอ โพลีน, บมจ.
Cement




ทีพีไอ โพลีน มั่นใจออกจากแผนฟื้นฟูปีนี้แน่ ฟุ้งหาเงินจ่ายรีไฟแนนซ์ 8.6 พันล้านบาททันเวลา พร้อมแตกไลน์2 ธุรกิจใหม่ปีนี้ "ฟิล์มโซล่าร์เซลล์-กาวร้อน" เสริมธุรกิจ "ประศิษย์" ชี้ธุรกิจเม็ดพลาสติกปีนี้โต เหตุความต้องการสูง เพิ่มกำลังอีก 8.5% จากปีก่อน เตรียมปรับราคาขายขึ้นอีก 10% ปลายปีนี้หลังต้นปีปรับแล้ว 15% คาดรายได้ปีนี้51ไม่ต่ำกว่า 2.9 หมื่นล้านบาท จากปีก่อน 2.69 หมื่นล้านบาท แจงราคาหุ้นไม่สะท้อนผลประกอบการจากประชาสัมพันธ์น้อย

นายประศิษย์ ชาญสิทธิโชค รองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน)หรือ TPIPL เปิดเผยว่า บริษัทเชื่อว่าจะสามารถออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้ภายในปีนี้แน่นอน เนื่องจากจะสามารถนำเงินมารีไฟแนนซ์จำนวน 8,600 ล้านบาท ได้ทันตามกำหนด โดยจะใช้เงินจากผลการดำเนินงานของของบริษัท เพราะ ทุกธุรกิจมีการเติบโตที่ดี ซึ่งบริษัทพยามที่จะทำรายได้และกำไรมากขึ้นเพื่อที่จะพอในการชำระหนี้ โดยที่บริษัทจะไม่ต้องกู้เงินจากสถาบันการเงิน

ทั้งนี้บริษัทคาดรายได้ปีนี้จะไม่ต่ำกว่า 29,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปี 2550 ที่มีรายได้รวม 26,933.90 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจเม็ดพลาสติกเติบโตดี จากคาวมต้องการใช้ที่สูงขึ้นทำให้เม็ดพลาสติกเกิดการขาดตลาด โดยบริษัทได้เพิ่มกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกอีวีเอเป็น 70,200 ตันต่อปี หรือเพิ่ม8.5% จากเดิมที่มีกำลังการผลิต 65,000 ตันต่อปี โดยใช้เงินลงทุนจำนวน 18-20 ล้านบาท ซึ่งดำเนินการเสร็จแล้วและบริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกแอลดีพีอี

นอกจากนี้ การที่ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มอย่างต่อเนื่องส่งผลดีต่อบริษัททำให้ราคาขายปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน โดยตั้งแต่ต้นปีบริษัทได้มีการปรับราคาขายเพิ่มขึ้นแล้ว 15% และมีโอกาสที่บริษัทจะมีการปรับขึ้นราคาสินค้าอีก 10%ในช่วงปลายปีนี้ โดยปัจุบันบริษัทได้ส่งออกเม็ดพลาสติกส่งออก 80%ของกำลังการผลิตรวม ซึ่งประเทศที่มีความต้องการใช้เม็ดพลาสติกสูงคือจีน และอินเดีย ที่มีการพัฒนาเรื่องสุขภาพที่ดีขึ้นโดยหันมาใส่รองเท้าแตะมากขึ้น ซึ่งเม็ดพลาสติกอีวีเอเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตรองเท้า ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)ปีนี้อยู่ที่ 12-15%จากปีก่อนที่8%

" แนวโน้มรายได้ในไตรมาส2/51 คาดว่าจะยังคงสูงกว่กไตรมาส1/51 ที่มีรายได้ จากธุรกิจเม็ดพลาสติกยังมีการเติบโตที่ดี จากความต้องการใช้ที่สูงทำให้กำลังการผลิตไม่เพียงพอ และจากการที่ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลดีทำให้ราคาขายสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นตามและรายได้ทางด้านการขายปูนซิเมนต์ยังเป็นสัดส่วนรายได้หลักของบริษัท"นายประศิษฐ กล่าว

นายประศิษย์ กล่าวว่า โครงการก่อสร้างปูนซีเมนต์แห่งที่ 4 นั้นบริษัทได้มีการชะลอการก่อสร้างออกไป เพราะ จากธูรกิจปูนมีการซบเซาตั้งแต่ปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน เนื่องจากภาครัฐยังไม่มีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่จริงเป็นเพียงการพูดเท่านั้นว่าจะมีการลงทุนโครงการต่าง และจากการที่เศรษฐกิจมีการชะลอตัว ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ค่าครองชีพของประชาชนสูงขึ้นทำให้ต้องมีการประหยัดจึงทำให้อุตสาหกรรมก่อสร้างชะลอตัว

ทั้งนี้ บริษัทก็สามารถที่จะมียอดขายในระดับที่น่าพอใจ โดยการให้ตัดแทนขายมีการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า แต่เชื่อว่าปลายปีนี้เป็นต้นไปเชื่อว่าจะธุรกิจปูนจะดีขึ้น จากโครงการต่างๆของภาครัฐน่าจะมีการลงทุนติง เล่น การสร้างถนน งานอสังหาริมทรัพย์ หากรัฐบาลมีความชัดเจนเรื่องยุบพรรคการเมืองทำให้ยอดขายปูนปรับตัวดีขึ้น

สำหรับในปีนี้บริษัทได้มีการทำธุรกิจใหม่ 2 ธุรกิจ คือ การนำเม็ดพลาสติกมาเพิ่มมูลค่าเพิ่มโดยพัฒนาเป็นแผ่นฟิล์มเป็นชิ้นส่วนประกอบเป็นแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งเริ่มจำหน่ายแล้ว 1-2 เดือนที่ผ่านมา โดยกลุ่มลูกค้าคือบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายแผงโซล่าร์เซลล์ เช่น บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน)หรือ SOLAR และ บริษัท เอกรัฐวิศวกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ AKR เพราะ ปัจจุบันยังไม่มีผู้ผลิตในประเทศไทย โดยที่ผ่านมาจะต้องนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นและอเมริกา ทำให้มาร์จิ้นธุรกิจดังกล่าวสูงถึง 40%

โดยบริษัทมีแผนที่จะนำไปจำหน่ายฟิล์มโซลาร์เซลล์นี้ไปจำหน่ายยังต่างประเทศเช่นกัน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการส่งตัวอย่างไปทดสอบที่ประเทศจีน เพราะ ประเทศดังกล่าวมีความต้องการใช้ที่สูง โดยคาดว่าจะส่งออกไประเทศจีนได้ประมาณ 2 เดือนข้างหน้า และบริษัทมีแผนที่จะทำตลาดที่ประเทศอินเดียเช่นกันซึ่งขณะนี้ได้ส่งสินค้าไปทดสอบแล้วเช่นกัน โดยบริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 250,000 ตารางเมตรต่อเดือน โดยคาดว่าปีหน้าจะสร้างรายได้ประมาณ 25 ล้านบาทต่อเดือน และจะเน้นส่งออกประมาณ 70% และขายในประเทศ 30% ส่วนอีก 1ธุรกิจคือการทำกาวร้อน ที่ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตหนังสือในส่วนของสันหนังสือ และเฟอร์นิเจอร์ ที่ปัจจุบันมีการใช้ประมาณ 200-300 ต้นต่อเดือน ซึ่งบริษัทเริ่มจำหน่ายในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยบริษัทสามารถที่จำหน่ายได้ประมาณ 25%ของการใช้ปัจจุบันที่มี 200-300 ตันต่อ

เดือน เพราะปัจจุบันกาวร้อนดังกล่าวนั้นยังไม่มีการผลิตในประเทศจะต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้เมื่อบริษัทมีการผลิตทำให้มีราคาถูกว่านำเข้า และทำให้บริษัทที่ใช้ไม่ต้องสั่งซื้อปริมาณที่สูงเพื่อสต๊อกสินค้าไว้

นายประศิษย์ กล่าวถึงราคาหุ้นของบริษัทว่า ถ้าหากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานถือว่าหุ้นที่น่าลงทุนจากมีการเติบโตที่ดี แต่การที่ราคาหุ้นของบริษัทไม่สะท้อนกับผลการดำเนินงานเพราะ บริษัทมีการประชาสัมพันธ์ที่ยังไม่ดีเท่าไร ทำให้นักลงทุนมองไม่เห็นถึงการเติบโตที่ดีของบริษัท   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us