|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"พิชิต" ไม่ห่วงตลาดหุ้นรูดกระทบจ่ายปันผล "วายุภักษ์ 1" มั่นใจครึ่งปีแรกจ่ายได้ไม่ต่ำกว่าที่เคยจ่าย เหตุกำไรสะสมเพียงพอ โดยเฉพาะกำไรจากเงินปันผล เตรียมชงบอร์ดพิจารณา 28 กรกฎาคมนี้ ส่วนกลยุทธ์การลงทุนล่าสุด เน้นปรับพอร์ตลงทุนอย่างระมัดระวังมากขึ้น เหตุความเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศสูง ชี้ผลประกอบการ Q2 ของสถาบันการเงินในสหรัฐ เป็นปัจจัยชี้บ่งว่าผลกระทบซับไพรม์จบหรือยัง ส่วนการเมืองในประเทศยังวุ่นวายอีกระยะ แม้มีความชัดเจนไปบางเปราะแล้ว
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทจัดการกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 เปิดเผยว่า ถึงแม้ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ไม่น่าเป็นห่วงหรือจะมีประเด็นว่าจะกระทบกับความสามารถในการการจ่ายปันผลของกองทุนรวมภายุภักษ์1 ในช่วงครึ่งปีแรกหรือจะจ่ายน้อยกว่าที่เคยจ่าย ซึ่งการปรับตัวของตลาดหุ้นดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนบ้าง แต่ก็เชื่อว่าจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานเพื่อประโยชน์แก่ผู้ถือหุ้นได้
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของกองทุนในปี 2550 ที่ผ่านมา กองทุนสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในอัตราทั้งปีรวม 7% โดยเป็นการจ่ายปันผล 3% ในช่วงครึ่งปีแรก และ 4% ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยคณะกรรมการการลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ 1 จะมีการประชุมเพื่อพิจารณากำหนดอัตราการจ่ายปันผลจากผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก ในวันที่ 28 กรกฎาคมนี้
"แน่นอนว่าการปรับตัวของตลาดหุ้น ส่งผลกระทบต่อเอ็นเอวีของกองทุนอยู่แล้ว แต่ผลกระทบดังกล่าว กระทรวงการคลังเป็นผู้แบกรับมากกว่า ซึ่งเป็นหลักตามนโยบายของกองทุนที่กำหนดไว้ แต่เราก็เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีแรก กองทุนเราจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานและจ่ายปันผลเพื่อประโยชน์แก่ผู้ถือหุ้นรายย่อยทั่วไปได้ ส่วนหนึ่งกองทุนยังมีกำรไสะสมเพียงพอ โดยเฉพาะกำไรจากเงินปันผลจากหุ้นที่กองทุนเข้าไปลงทุน" นายพิชิตกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่การลงทุนผันผวนเช่นนี้ คณะกรรมการการลงทุนได้ปรับพอร์ตหันมาลงลงทุนอย่างระมัดระวังมากขึ้น เนื่องจากความเสี่ยงในตลาดเพิ่มสูงขึ้น ทั้งความเสี่ยงในประเทศและความเสี่ยงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะความเสี่ยงจากต่างประเทศเอง ที่เรามองว่าหลังจากผ่านครึ่งปีแรกไปแล้ว ความไม่แน่นอนของปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพในสหรัฐอเมริกา (ซับไพรม์) จะชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะหากผลประกอบการของสถาบันการเงินในสหรัฐในไตรมาส 2 ที่จะออกมา จะยิ่งทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าปัญหาซับไพรม์จะเป็นอย่างไรต่อไป
นอกเหนือจากนั้น ก็ยังเป็นปัญหาราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังผันผวน มีการคาดการณ์ทั้งปรับขึ้นและลดลง ซึ่งจะเป็นผลกระทบในระยะกลางถึงระยะยาวต่อไป โดยเฉพาะผลกระทบการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการเติบโตของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศแถบเอเชียด้วย เพราะราคาน้ำมันที่สูงขึ้น จะส่งผลต่อเนื่องถึงอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะกดดันการลงทุนและการบริโภคในประเทศลดลงตามไปด้วย โดยปัจจัยการถอถอยของเศรษฐกิจสหรัฐนี้ ยังเป็นปัจจัยที่เขาเองยังจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะทั่วโลกเป็นห่วงว่าจะกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอื่นในโลกด้วย
"คิดว่าช่วงนี้นักลงทุนมีเวลาในการรวมรวมข้อมูลการลงทุน ซึ่งหากจะลงทุนต้องเลือกเซกเตอร์ที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งเรื่องเงิน ต้องดูแลไม่ว่าภาวะการลงทุนจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง ที่สำคัญต้องเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีเช่นนี้ด้วย"นายพิชิตกล่าว
โดยในปัจจุบัน พอร์ตการลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ การลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์และพลังงานยังเป็นสัดส่วนการลงทุนหลักที่สำคัญของกองทุน โดยหุ้นกลุ่มพลังงานเองไม่มีการลดสัดส่วนลงแต่อย่างไร แม้ที่ผ่านจะผันผวนค่อนข้างสูง ประกอบกับการลงทุนดังกล่าว เป็นการเลือกลงทุนหุ้นรายตัวมากกว่า ส่วนการลงทุนครึ่งปีหลังของกองทุนนั้น คงต้องพิจารณาดูเป็นรายตัวเป็นหลัก โดยเฉพาะการเลือกหุ้นที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี
สำหรับปัญหาการเมืองในประเทศขณะนี้ นายพิชิตกล่าวว่า ในระยะนี้คงยังวุ่นวายอีกสักระยะ และคงยังไม่จบเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม ทุกฝ่ายทราบอยู่แล้วว่าไม่อยากให้เกิดความรุนแรง ซึ่งในแง่ของนักลงทุนเองก็คงขอให้มีความชัดเจนมากกว่านี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นใครหรือฝ่ายไหนเข้ามามีอำนาจในการบริหารประเทศ นักลงทุนก็ลงทุนได้อยู่แล้วหากทุกอย่างมีความชัดเจน
อย่างไรก็ตาม การที่การเมืองเริ่มมีความชัดเจนไปทีละเปราะเช่นนี้ ในส่วนของนักลงทุนต่างชาติที่เทขายหุ้นออกไปจำนวนมาก คงยังไม่กลับเข้ามาลงทุนในช่วงนี้ เพราะปัจจัยที่จะมีส่วนทำให้เงินลงทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอีกครั้ง เป็นปัจจัยภายนอกมากกว่า นั่นคือ การปรับพอร์ตและการปรับแอสเซทอโลเคชั่นของกองทุนขนาดใหญ่ในต่างประเทศมากกว่า ซึ่งนักลงทุนกลุ่มนี้จะติดตามดูภาวะการลงทุนในแต่ละประเทศเปรียบเทียบกันเป็นหลัก
โดยในระยะนี้ การลงทุนในสหรัฐอเมริกาเองเริ่มมาความมั่นคงมากขึ้น ซึ่งหากมีความชัดเจนมากขึ้นกว่านี้ เงินลงทุนจากต่างชาติที่มองว่าจะไหลกลับเข้ามาลงทุนในประเทศเอเชียรวมถึงไทย ก็อาจจะไหลกลับเข้าไปลงทุนในสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง นอกเหนือจากจะมีปัจจัยลบเข้ามากระทบ หรือตลาดหุ้นในเอเชีย สามารถสร้างความเชื่อมั่นและลดความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อในประเทศที่นักลงทุนเหล่านี้กังวลอยู่ได้
|
|
|
|
|