|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ฟันด์เมเนเจอร์กองทุนรวม มองดอกเบี้ยขาขึ้นเตรียมปรับอายุตราสารหนี้ในการลงทุน ระบุแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ กนง.จะไม่กระทบยิลด์บอนด์ในประเทศ เหตุผลตอบแทนปรับตัวไปล่วงหน้ามากแล้ว พร้อมชูกลยุทธ์สวอปช่วยเพิ่มผลตอบแทนกองตราสารหนี้ระยะกลางแทนการล็อกอัตราดอกเบี้ยคงตัว หลังการลงทุนรูปแบบเดิมจะทำให้กองประเภทนี้ขาดทุนได้จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น
นายอาสา อินทรวิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายการลงทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด เปิดเผยว่า การลงทุนตราสารหนี้ในประเทศหลังจากนี้คงจะต้องมีการปรับลดอายุลง เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศน่าจะอยู่ในช่วงขาขึ้น จากปัจจัยกดดันทั้งในเรื่องของเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม หากคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ คงจะไม่กระทบต่อผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้มากนัก เนื่องจากผลตอบแทนมักมีการปรับไปตามคาดการณ์ก่อนหน้านี้แล้ว
“การปรับดูเรชั่นในช่วงนี้เป็นเรื่องที่ผู้จัดการกองทุนดูแลมาตลอด อย่างไรก็ตามการขึ้นดอกเบี้ยในครั้งหน้านี้จากแรงกดดันของเงินเฟ้อคงไม่กระทบต่อยิลด์ในตลาดตราสารหนี้มากนัก เพราะตามปกติแล้วส่วนใหญ่ยิลด์ของมันมักจะปรับไปก่อนตามคาดการณ์ในเรื่องอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่แรกแล้ว”นายอาสากล่าว
ทั้งนี้ ผลตอบแทนของพันธบัตรในประเทศได้ปรับตัวสูงขึ้นมาตั้งแต่ประมาณ 2 เดือนที่แล้ว โดยพันธบัตรอายุ 10 ปีขณะนี้ผลตอบแทนได้ไปปรับขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 5% และถือว่าสูงมากกว่าช่วงประมาณเดือนเมษายน ซึ่งอยู่ประมาณ 4.4% และในเดือนกุมภาพันธ์ที่ประมาณ 3.95% เท่านั้น
นายอาสา กล่าวอีกว่า การลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลางของบริษัทขณะนี้ ได้รับผลดีจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากบริษัทได้มีการนำเครื่องมือการสวอปอัตราดอกเบี้ยมาใช้ เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยง ซึ่งหากเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลางรูปแบบเดิม เมื่อมีปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว จะทำให้ผลตอบแทนลดลงได้
“ทั่วไปดอกเบี้ยของบอนด์ในตลาดมันจะเป็นแบบคงที่ คือหากอยู่ที่ 5% แล้วต่อมามันขึ้นเป็น 6% ราคาพันธบัตรของเราจะตกคือ หากเป็น 1,000 บาท มันจะเหลือแค่ประมาณ 950 บาท เพื่อคนที่ซื้อต่อเขาจะได้ยิลด์ที่ 6% เท่ากับที่มันขึ้นมา”
สำหรับเครื่องมือที่นำมาใช้นั้น จะทำให้อัตราดอกเบี้ยที่ลงทุนในตราสารเปลี่ยนเป็นดอกเบี้ยแบบลอยตัว โดยจะต้องมีข้อตกลงร่วมกับธนาคารพาณิชย์ในเรื่องนี้ก่อนถึงจะสามารถทำได้ ซึ่งกองทุนตราสารหนี้ของบริษัทส่วนใหญ่จะใช้เครื่องมือนี้เกือบทุกกองทุนด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนตราสารหนี้ของบริษัท ณ วันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา กองทุนตราสารหนี้ระยะกลางมีผลตอบแทนสูงสุดคือ ตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 4.68% ย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 4.05% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 4.68% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 3.37% และตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 4.22%
อย่างไรก็ตาม การใช้เครื่องมือนี้เพียงเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง ซึ่งบางครั้งผลตอบแทนที่ได้อาจไม่เพิ่มขึ้นได้เช่นกัน โดยกองทุนที่บริษัทจะไม่นำเครื่องมือนี้มาใช้คือ กองทุนประเภทมันนี่มาร์เก็ต ซึ่งจะไม่ได้รับผลกระทบจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น เนื่องจากมีการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นประมาณ 1-2 เดือนอยู่แล้ว
นายอาสา กล่าวอีกว่า จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในปัจจุบันจะทำให้กองทุนประเภทโลว์โอเวอร์แบบ 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี จะได้รับผลดีจากเรื่องนี้ แต่คงจะไม่เห็นผลทันที เนื่องจากต้องดูการปรับตัวของแบงก์พาณิชย์ในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
ด้าน นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด เปิดเผยว่า จากการที่ กนง. อาจมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้การลงทุนในกองทุนระยะ สั้นๆ เมื่อครบอายุ มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นในการลงทุนครั้งต่อไป
ทั้งนี้ บลจ.อยุธยาจึงขอแนะนำการลงทุนระยะสั้น ซึ่งเป็นการลงทุนที่เหมาะกับภาวะอัตราดอกเบี้ยในช่วงขาขึ้นและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนเป็นที่พึงพอใจแก่นักลงทุนได้แก่ กองทุนเปิดอยุธยาเอ็นแฮนซ์โน้ทพลัส 3M1 (AYFENP3M1) และกองทุนเปิดอยุธยาเอ็นแฮนซ์โน้ทพลัส 6M1 (AYFENP6M1) เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุนในระหว่างวันที่ 7-14 ก.ค. 2551 นี้
สำหรับกองทุนทั้ง 2 กองนี้จะเน้นลงทุนตราสารหนี้ที่เสนอขายในต่างประเทศ ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือใน 2 อันดับแรก โดยมีผู้ออก ได้แก่ National Australia Bank, Industrial Bank of Korea, Kookmin Bank, AUST & NZ Bank, ABN Amro Bank เป็นต้น
โดยกองทุนเปิดอยุธยาเอ็นแฮนซ์โน้ทพลัส 3M1 มีอายุประมาณ 3 เดือน และกองทุนเปิดอยุธยาเอ็นแฮนซ์โน้ทพลัส 6M1 นั้น มีอายุประมาณ 6 และคาดว่าทั้งสอง กองทุนจะได้รับอัตราการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติไม่น้อยกว่า 3.00% และ 3.50% ต่อปี โดยจะมีการหักค่าใช้จ่ายที่ประมาณ 0.37% และ 0.30% ตามลำดับ
|
|
|
|
|