|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"เศรษฐพุฒ สุทธิวาทนฤพุฒิ" คาด กนง.จะทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายภายในปีนี้ 3 ครั้ง หลังจากได้รับความกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตประมาณ 5% ชี้ พ.ร.บ.สถาบันประกันเงินฝากจะช่วยหนุนธุรกิจกองทุนรวม และส่งผลดีต่อประชาชนในระยะยาว พร้อมก้าวเข้ารับตำแหน่งเป็นกรรมการผู้อำนวยการคนใหม่ บลจ.ไทยพาณิชย์ เตรียมสานต่องานให้ดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง และรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจกองทุนรวม พร้อมประเดิมลุยต่อท่อช่องทางขายระหว่าง บลจ.กับทุกสาขาของแบงก์แม่ และเน้นพัฒนาศักยภาพของพนักงานขายในเฟสต่อไป
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยถึง แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศ ว่า คาดว่าคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (ดอกเบี้ยอาร์พี) ภายในปีนี้อีกประมาณ 3 ครั้ง โดยจะเป็นการทยอยปรับขึ้นในอัตรา 0.25% ในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และตุลาคม เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่จะปรับตัวสูงขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคม และกันยายน แต่การประชุม กนง.ในเดือนตุลาคม ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อในเดือนกันยายนยังไม่ปรับตัวลดลง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากสูงกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ตั้งไว้ 0-3.5% และคาดว่าในการประชุม กนง.ในเดือนธันวาคม อัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวลดลงมา ส่งผลให้ไม่มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก
ปัจจุบัน อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) ได้ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ที่กำจัดอิทธิพลของราคาสินค้าในหมวดพลังงาน และสินค้าเกษตรได้ปรับขึ้นตามไปด้วย โดยมาจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน ค่าจ้างแรงงาน และสินค้าเกษตร ขณะเดียวกัน คาดว่าเศรษฐกิจไทยทั้งปีจะอยู่ที่ระดับ 5% โดยตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 2 น่าจะออกมาดี แต่แนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มไม่ดี เนื่องจากมีปัจจัยมากระทบอย่างราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อ ค่าแจ้งแรงงาน และราคาสินค้าเกษตร
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถาบันประกันเงินฝาก หากมองในระยะยาวจะช่วยสนับสนุนธุรกิจกองทุนรวม และส่งผลดีต่อประชาชน เนื่องจากที่ผ่านมา รัฐบาลมีภาระจากการเข้าไปช่วยเหลือสถาบันการเงินเป็นจำนวนมาก โดยเมื่อปี 2540 อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อยู่ที่ประมาณ 5 ล้านล้านบาท โดยเสียหายจากการเข้าไปช่วยเหลือสถาบันการเงิน โดยหักยอดที่มีการประมูลจากองค์การปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ประมาณ 1.3 -1.4 ล้านล้านบาท หรือคิดตัวเลขเป็นประมาณ 20% ของ GDP ดังนั้น เมื่อมีวิธีที่เข้ามาช่วยลดภาระทางการเงินของทางภาครัฐจึงนับว่าเป็นสิ่งที่ดี
นอกจากนี้ ยังถือว่าดีต่อธุรกิจ โดยตำแหน่งของ บลจ.นับว่ามีความสำคัญมาก เป็นธุรกิจบริหารสินทรัพย์ แต่เป็นธุรกิจที่สร้างความเชื่อมั่น เมื่อประชาชนมองหาสิ่งที่ใกล้เคียงกับการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ และค่อนข้างปลอดภัย และจะดูจากที่มีความมั่นคง และสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดคือการออกไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือซื้อกองทุนรวม
ส่วนการที่สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เข้ามาในการหักเงินเป็นประจำทุกเดือน ถือว่าเป็นการช่วยการออมของประชาชนในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่พอ หากจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) เข้ามาช่วยในส่วนนี้ โดยสามารถให้เลือกสิ่งที่ต้องการลงทุน และรับความเสี่ยงไว้เอง หรืออย่างน้อยต้องให้ประชาชนได้มีสิทธิ์เลือกประเทศที่จะเข้าไปลงทุน หรือกองทุนที่จะลงทุนเอง
ขณะเดียวกัน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด ได้ประกาศแต่งตั้งนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการ โดยได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน ศกนี้ เป็นต้นไป โดยนายเศรษฐพุฒิ เป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ของกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ ที่มีความรู้ความสามารถโดดเด่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสบการณ์ที่หลากหลาย จากทั้งภาคผู้กำกับดูแลตลาดทุนและภาคธุรกิจตลาดทุน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงมีความเข้าใจธุรกิจเป็นอย่างดี ส่งผลให้ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการคนใหม่ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนไทยพาณิชย์ จำกัด
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวถึงการเข้ารับตำแหน่งในครั้งนี้ว่า การที่ บลจ.ไทยพาณิชย์ ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในธุรกิจกองทุน โดยมีส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจกองทุนรวมสูงเป็นอันดับ 1 นั้น เนื่องจากได้รับการวางรากฐานเป็นอย่างดี ทั้งด้านระบบงาน การบริหารการจัดการ และทีมงานที่แข็งแกร่ง จึงมีความมั่นใจว่าการเข้ามารับตำแหน่งครั้งนี้จะสามารถสานต่องานให้ดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง และจะยังรักษาความเป็นผู้นำ และครองอันดับ 1 ในธุรกิจกองทุนรวม
โดยแผนระยะยาวจะเน้นหนักในเรื่องการสร้างคน โดยจะเข้ามาดูภาพรวมการแข่งขันรวมของธุรกิจกองทุนรวม เฟสแรกที่ทำเป็นเรื่องของ บลจ.ต่อท่อช่องทางขายกับทุกสาขาของธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ผ่านมาก็ทำได้ค่อนข้างดี และการออกกองทุนตลาดเงิน (Money Market Fund) ก็ทำก่อนใคร เนื่องจากผู้ฝากเงินมีความคุ้นเคยมากที่สุด ตลาดในส่วนนี้เจริญเติบโตเร็ว จะเห็นคู่แข่งค่ายอื่นๆ ก็หันมาต่อท่อกับสาขาแบงก์ และออกผลิตภัณฑ์ตาม
สำหรับเฟสต่อไป มองว่าสิ่งที่จะเป็นตัวกำหนดว่าใครจะชนะการแข่งขันคือเรื่องคุณภาพของพนักงานขาย และศักยภาพในแง่การให้ความรู้ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่จะทำให้คนซื้อ ต้องมีความเชื่อมั่น ต้องมีความรู้ ซึ่งที่ผ่านมาเป็นจะเน้นเพียงการขายผลิตภัณฑ์เท่านั้น โดยจะหันมาเป็นมองลูกค้ามากขึ้น รู้ความต้องการของลูกค้ามากขึ้น และมีบทบาทคล้ายกับที่ปรึกษาทางการ(Financial Adviser) ซึ่งหายากมากเพราะจะเป็นทั้งผู้จัดการกองทุน (Fund Manager) บวกกับเป็นพนักงานขาย (Sale) ที่ชอบบริการด้วย มองว่าผลิตภัณฑ์สามารถเลียนแบบกันได้ค่อนข้างง่าย แต่เรื่องศักยภาพคนเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้แข่งขันได้ยั่งยืน ซึ่งที่สุดทุกธุรกิจก็ต้องหันมาเน้นหนักในด้านนี้กัน ซึ่งบทบาทตรงนี้ยังไม่มีใครตีโจทย์นี้ได้
นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์มีนโยบายสนับสนุนผู้บริหารที่มีความรู้ ความสามารถ ตลอดจนมีความเข้าใจในธุรกิจเข้ามาร่วมบริหารงาน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มธุรกิจของธนาคาร ดร.เศรษฐพุฒิเป็นผู้หนึ่งที่มีความรู้ความสามารถ ดังนั้นจึงได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ และด้วยประสบการณ์การทำงาน เชื่อมั่นได้ว่า จะสามารถบริหารงานได้บรรลุตามเป้าหมายและครองความเป็นผู้นำในธุรกิจกองทุนได้อย่างแน่นอน
|
|
|
|
|