อังคารที่ 6 มีนาคม เป็นวันที่ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีปัจจุบัน ได้บันทึกประวัติศาสตร์การเงินไว้อีกหน้าหนึ่ง
เมื่อใช้มือรมต.คลังประมวล สภาวสุ ปลดกำจร สถิรกุลออกจากตำแหน่งผู้ว่าแบงก์ชาติ
พร้อมประกาศแต่งตั้งชวลิต ธนะชานันท์ลูกหม้อที่ทำงานในแบงก์ชาติมานาน 30
ปีและเป็นรองผู้ว่าการมานานกว่า 6 ปีขึ้นเป็นผู้ว่าการแทน
ก่อนหน้านี้เมื่อ 6 ปีก่อน นุกูล ประจวบเหมาะก็ถูกสมหมาย ฮุนตระกูลรมต.คลังปลดออกจากผู้ว่าการแบงก์ชาติด้วยสาเหตุความขัดแย้งอย่างรุนแรงในมาตราการการเงินเรื่องการตั้งสถาบันประกันเงินฝากและความไม่ลงรอยกันในสไตน์การบริหาร
เหตุการณ์ครั้งนั้นได้นำกำจรจากผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังมาสู่การเป็นผู้ว่าการแทนนุกูลแบบบุญหล่นทับ
เหตุการณ์อังคารที่ 6 มีนาคมที่เกิดกำจรมันจึงเหมือนกับกงกำกงเกวียนอย่างเหลือเชื่อ
แม้กำจรจะไม่มีความขัดแย้งกับรัฐบาลคือ รมต.คลังและนายกเหมือนเช่นนุกูลและอดีตผู้ว่าการท่านอื่นๆ
แต่กำจรมีปัญหากับรัฐบาลในประเด็นบุคคลิกส่วนตัวที่ประนีประนอมเกินไปจนขาดความกล้าหาญซึ่งเกี่ยวโยงกับภาพพจน์ของแบงก์ชาติในสายตาพนักงานระดับสูงและประชาชนทั่วไปตกต่ำไปด้วย
"กำจรสื่อสารโดยตรงกับประมวลน้อยไปหน่อย ตัวอย่างมาตรการแก้เงินเฟ้อเมื่อปลายปีที่แล้วแทนที่กำจรจะสื่อสารโดยตรงกับประมวลกลับไปผ่านพิสิษฐ์
ภัค เกษมเลขาธิการสภาพัฒน์ทำให้ประเด็นด้านโครงสร้างดอกเบี้ยที่แบก์ชาติผลักดันมาตลอดแต่ถูกประมวลเก็บดองไว้ด้วยเหตุผลทางการเมือง
ถูกสภาพัฒน์เอาไปยำใหม่หมดก็เลยไม่ปรากฏในมาตรการแก้เงินเฟ้อขนาดนั้น"แหล่งข่าวระดับสูงในแบงก์ชาติเล่าให้"ผู้จัดการ"ฟัง
ดอกเบี้ยที่แบงก์ชาติผลักดันก็คือการขยับเพดานดอกเบี้ยเงินกู้จาก 15 เป็น
16.5 %และคงอัตราไว้ที่ 15 สำหรับวงเงินที่ไม่เกิน 500,000 บาท ขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากปล่อยลอยตัว
เว้นแต่เงินฝากออมทรัพย์ที่ยังคงไว้ที่ 7.25 %
นักวิเคราะห์จากบ้าานพิษณุโลกให้ข้อสังเกตถึงการเปลี่ยนตัวผู้ว่ากำจรว่าความจริงกำจรก็แสดงฝีมือไว้ไม่น้อยในปัญหาการแก้ไขความมั่นคงของสถาบันการเงิน
แต่ในขณะนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว สถาบันการเงินมีความมั่นคงขึ้นท่ามกลางการแข่งขันของตลาดการเงินในภูมิภาคนี้
ผู้ว่าแบงก์ชาติต้องเป็นคนที่มีมโนภาพการบริหารการเงินและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่กว้างไกลออกไปจากปัญหาส่วนย่อยๆ
และมีมิติทางยุทธศาสตร์ที่เฉียบคมกล้าหาญและสามารถสื่อสารทำความเข้าใจให้รมต.คลังหรือแม้แต่ครม.ให้คล้อยตามได้
ตัวอยางเรื่องดอกเบี้ยเพื่อแก้เงินเฟ้อเมื่อปลายปีที่แล้วเป็นสิ่งหนึ่งที่บอกว่ากำจรไมม่สามารถเป็นผู้ว่าการได้อีกต่อไป
เป็นที่ทราบกันดีว่าขณะนี้เศรษฐกิจกำลังมีภาวะ "เครื่องร้อน"เกินไปแล้ว
สัญญาณนี้ได้แดงออกที่เสถียรภาพด้านราคาถูกคุกคามจากเงินเฟ้อสูงถึงกว่า 6
% ขณะที่การผลิตเริ่มมีการขาดแคลน
แบง์ชาติได้ส่งสัญญาณเตือนหลายครรั้งให้มีการชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจลงโดยใช้มาตราการทางการเงินด้านดอกเบี้ย
แต่ถูกประมวลเก็บดองไว้โดยกำจรก็ไมม่มีความกล้าเพียงพอที่จะไปพูดจาให้ประมวลเห็นคล้อยตามได้
ประเด็นผู้ว่าการต้องมีความสามารถโน้มน้าวให้รมต.3คลังคล้อยตามเป็นสิ่งที่มีความหมายมากต่อประวัติศาสตร์ของแบงก์ชาติ
เพราะในอดีตมีผู้ว่าการหลายคนล้มเหลวตรงจุดนี้ และตรงออกจากตำแหน่งไม่ถูกกดดันให้ออกก็ถูกปลดออกจากจำนวนผู้ว่าการ
12 คน ที่มีมาตลอดเกือบ 50 ปีของแบงก์ชาติมีผู้ว่าการถึง 8 คน ที่ต้องออกจากตำแหน่งไปด้วยเหตุดังว่า
ปี 2489 หม่อมเจ้า วิวัฒนไชย ผู้ก่อตั้งแบงก์ชาติได้ลาออกจากการเป็นผู้ว่าการฯ
เนื่องจากขัดแย้งกับนายกฯพลเรือตรี ถวัลย์หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ในเรื่องการขายทุนสำรองทองคำกล่าวคือ
เวลานั้นแบงก์ชาติมีหนี้ตั๋วเงินฝากในรูปพันธบัตรของรัฐบาล อยู่เกือบ 200
ล้านบาทหม่อมเจ้าวิวัฒนไชยได้เสนอครม.เอาทองคำจากทุนสำรองออกขายเพื่อมาใช้หนนี้รัฐบาลโดยให้ขายเป็นแท่ง
แต่นายกฯถวัลย์(มักเรียกกันว่านายกฯหลวงธำรง)เห็นว่าการขายเป็นแท่งประชาชนทั่วไปจะไม่มีกำลังเงินมาซื้อจะมีแต่พวกพ่อค้า
นายกฯก็เลยเสนอให้ครม.ให้หั่นขาย ซึ่งครม.ก็เห็นชอบ แต่หมมม่อมเจ้าวิวัฒนไชยคัดค้านเพราะการหั่นทองคำออกขายจะทำให้เนื้อทองสูญเพลิงไปส่วนหนึ่งเป็นเสียมากกว่าผลดี
เมื่อเป็นเช่นนี้นายกถวัลย์ก็เลยสั่งปลดกรรมการแบงก์ชาติทุกคน(เว้นท่านเจ้าคุณสกล)
แต่ไม่กล้าปลดผู้บริหารคือ แนบ พหลโยธิน ซึ่งเป็นรองผู้ว่าการ และมีศักดิ์เป็นอาของท่านเจ้าคุณพหลพลพยุหเสนา
กับหม่อมเจ่าวิวัฒนไชยซึ่งเป็นผู้ว่าการเนื่องจากเกรงบารมีเจ้าคุณพหลฯและหมม่อเจ้าวิวัฒนไชยซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งแบงก์ชาติมากับมือ
แต่เพื่อศักดิ์ศรีการเป็นนายธนาคารที่ถูกต้อง หม่อมเจ้าวิวัฒนไชยก็เลยลาออกจากการเป็นผู้ว่าการฯด้วยเหตุผลขัดแย้งกับรัฐบาล
หลังจากนั้นคลื่นความขัดแย้งระหว่างแบงก์ชาติกับรัฐบาลก็สงบลงชั่วขณะ จนเข้าปี
2495 สมัยหม่อมหลวงเดช สนิทวงศ์เป็นผู้ว่าการฯก็เกิดความขัดแย้งกับรัฐบาลอย่างรุนแรงอีก
คราวนี้เป็นเรื่องค่าเงินบาทกล่าวคือหม่อมหลวงเดชและแบงก์ชาติคัดค้านจอมพลแปลก(ป.)พิบูลย์สงครามที่ให้แบงก์ชาติเพิ่มค่าเงินบาทจาก
51 บาทเป็น45 บาทต่อปอนด์โดยจอมพลป.อ้างว่าต้องการลดค่าครองชีพ(เงินเฟ้อ)ที่ขณะนั้นสูงถึง
10 กว่าเปอร์เซ็นต์
แต่ทางแบงก์ชาติและหม่อมหลวงเดชเห็นว่าเวลานั้นกำลังอยู่ในช่วงสงครามเกาหลีเศรษฐกิจไทยกำลังเฟื่องฟู
พืชผลเกษตรเช่นยางพาราและข้าวขายได้ราคาดีมากเพื่แป้อทนตลาดโลกที่กำลังขาดแคลนฐานะทุนสำรองของประเทศมั่นคงเนื่องจากดุลการค้าเกินดุลมาตลอด
ตั้งแต่ต้นทศวรรษที่1950เป็นต้นมาการเพิ่มค่าเงินบาทจะมีผลทำให้การส่งออกชะลอตัวลงอาจมีผลกระทบต่อฐานะทุนสำรองและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
สงครามเกาหลีที่เริ่มมาตั้งแต่2493 คงไม่ยืดเยื้ออีกต่อไปและถ้าเป็นดังคาดนี้
การเพิ่มค่าเงินบาทจะทำให้เสถียรภาพเศรษฐกิจทรุดลงอย่างรุนแรงแต่จอมพลป.กลับมีความเชื่อว่าสงครามจะดำเนินต่อไปและผลผลิตเกษตรก็จะยังคงส่งออกต่อไปได้
เมื่อขัดแย้งกัน จอมพลป. ก็ปลดหม่อมหลวงเดชออกจากการเป็นผู้ว่าการฯทันทีแล้วแต่งตั้งดร.เสริม
วินิจฉัยกุลเป็นผู้ว่าการแทน
หลังจากนั้นเป็นเวลายาวนานถึง18 ปีที่ความขัดแย้งระหว่างแบงก์ชาติกับรัฐบาล
ได้สงบลงโดยผ่านยุคผู้ว่าการมาถึง2 คน คือเกษม ศรีพยัคม์ (2498-2501) และโชติ
คุณะเกษม(2501-2) ซึ่งทั้งสองผู้ว่าการในสมัยรมต.คลัง พลตรีเภาเลิศ บริภัณฑ์ยุทธกิจ
นายพจน์ สารสินและดร.เสริม
แม้วผู้ว่าการทั้ง 2 จะไม่มีความขัดแย้งกับรัฐบาลจนต้องออกแต่ก็มีปัญหาภายในกล่าวคือเกษม
ศรีพยัคม์ มีเหตุต้องออกจาการเป็นผู้ว่าการฯเพราะเงินฝาก 10 ล้านบาทของกรมรถไฟที่ฝากไว้กับแบงก์ชาติหายไป
โดยมีพนักงานแบงก์ชาติร่วมมือกับคนในกรมรถไฟทุจริต ส่วนโชติ คุณะเกษมต้องออกเนื่องจากถูกสอบสวนว่าพัวพันการมีส่วนได้เสียค่านายหน้าการให้บริษัทซีโคน
เป็นผู้สร้างโรงพิมพ์ธนบัตร
"ซีโคนเข้ามาติดต่อกับจอมพลสฤษดิ์โดยเสนอว่าจะพิมพ์ธนบัตรให้ก่อน
300 ล้านใบและจ่ายเงินล่วงหน้าให้ 700,000 เหรียญ แต่ถูกคัดค้านจากกรรมการแบงก์ชาติเพราะเห็นว่าบริษัทซีโคนมีผลงานไม่น่าเชื่อถือ
แต่ผู้ว่าการโชติก็ยืนยันว่าน่าจะให้ซีโคนเป็นผู้สร้างโรงพิมพ์ ก็มีการฟ้องร้องโดยแบงก์ชาติเป็นโจทย์ฟ้องแพ่ง
แต่ก็แพ่เพราะทางโชติเอาหลักฐานคำสั่งจอมพลสฤษดิ์ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติให้ว่าจ้างซีโคนมายืนยันต่อศาล"
แหล่งข่าวอดีตผู้บริหารแบงก์ชาติเล่าประวัติศาสตร์แบงก์ชาติให้ฟัง
แม้โชติจะรอดตัวจากคดีแพ่งแต่ก็ถูกจอมพลสฤษดิ์ปลดออกจากการเป็นผู้ว่าการฯ
เมื่อโชติออกรัฐาบาลก็แต่งตั้งดร.ป๋วยขึ้นเป็นผู้ว่าการฯแทนดร.ป๋วยเป็นคนมีบารมีกล้าหาญในหลักการ
มีความรู้ทางเศรษฐกิจที่เยี่ยมยอดจาก ลอนดอนสคูลออฟอีโคนอมิคที่นานาประเทศยกย่อง
ตลอดประวัติศาสตร์ของแบงก์ชาติสมัยดร.ป๋วยจึงเป็นยุคทองที่สุดกล่าวคือแบงก์ชาติมีบทบาทในการดำเนินนโยบายการเงินอย่างอิสระ
"ดร.ป๋วย ท่านมีความสามารถในการพูดโน้มน้าวรัฐาบาลให้เชื่อในสิ่งที่แบงก์ชาติเสนอสมกับเป็นนายธนาคารกลาง"
อดีตพนักงานระดับบริหารแบงก์ชาติกล่าวถึงบารมีของดร.ป๋วย
ปลายปี 2514 รัฐบาลจอมพลถนอมกิตติขจรทำการปฎิวัติล้มรัฐบาลของตนเองแล้วตั้งรัฐบาลปฏิวัติมีตนเองเป็นนายกฯ
พลเอกประภาส จารุเสถียรเป็นรองนายกฯและคุมกระทรวงมหาดไทย พันเอกณรงค์ กิตติขจรลูกชายจอมพลถนอมคุมก.ต.ป.
พูดอีกนัยหนึ่งรัฐบาลถนอมขณะนั้นมีภาพพจน์แย่มาก ๆ ในสายตาประชาชน ดรงป๋วยก็มีความรู้สึกเช่นกันแม้จะมีบารมีที่ดร.เสริมรมต.คลังและจอมพลถนอม
นายกฯ ยอมรับในความสามารถทางการเงินและความสุจริตแต่ก็ทนไม่ได้ที่จะร่วมบริหารนโยบายกับรัฐบาลปฏิวัติ
ดร.ป๋วยได้ขอลาออกจากการเป็นผู้ว่การแบงก์ชาติในปี 2514 และไปอยู่ที่อังกฤษซึ่งต่อมาไม่นานนักดร.ป๋วยก็ได้เขียนจดหมายจาก
"นายเข้มเย็นยิ่งถึงผู้ใหญ่บ้านทำนุ" ก่อกระแสปลุกจิตสำนึกประชาธิปไตยต่อต้านรัฐบาลถนอม
เมื่อดร.ป๋วยลาออกรัฐบาลก็แต่งตั้งลูกหม้อแบงก์ชาติที่ทำงานมาตั้งแต่แบงก์ชาติมีฐานะเป็นแค่สำนักงานธนาคารชาติไทยคือพิสุทธิ์เหมินท์ขึ้นเป็นผู้ว่าการฯแทน
ช่วงขณะนั้นระบบการเงินของโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย ประธานาธิบดีนิกสันแห่งสหรัฐได้ประกาศยกเลิกการเทียบเสมอภาคของค่าดอลล่าร์สหรัฐกับทองคำที่รู้จักกันในนามว่า
"ระบบเบรตตันวูดส์" เพื่อเป็นมาตรการหนึ่งในการแก้ปัญหาดุลการชำระเงินและความไม่ไว้วางใจค่าดอลล่าร์ทำให้ประเทศอุตสาหกรรมต่าง
ๆ ปล่อยให้เงินของตัว "ลอยตัว" ตามตลาดเงินที่กำลังปั่นป่วนโดยมีความเชื่อกันว่าค่าดอลล่าร์ที่สูงเกินจริงคงต้องลดค่าลง
ขณะนั้นบุญมา วงศ์สวรรค์เป็นปลัดคลัง ก็เห็นชอบกับข้อเสนอของพิสุทธิ์ที่ให้คงค่าอัตราแลกเปลี่ยนบาทกับดอลล่าร์ไว้ตามเดิมคือ
20.8 บาทต่อดอลล่าร์แต่ปรับค่าเงินบาทลง 7.89% เมื่อเทียบกับทองคำคือจาก
1 บาท ต่อ 0.0427245 กรัม เป็น 0.0393516
ตุลาคม 2516 รัฐบาล ถนอมถูกประชาชนขับไล่ มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างมากมาย
มีรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ขึ้นทำหน้าที่แทนชั่วคราวจนกระทั่งมาถึงรัฐบาล ที่มาจากการเลือกตั้งหม่อม
คึกฤทธิ์ปราโมชเป็นนายกฯ ในปี 2518
ยุคสมัยนี้มีเสนาะ อุนากูลเป็นผู้ว่าการแบงก์ชาติ กล่าวได้ว่าความสัมพันธ์กับคลัง
(บุญชู โรจนเสถียรเป็นรมต.คลัง) ของแบงก์ชาติที่มีความราบรื่นดี จนกระทั่งปี
2522 ในสมัยเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นนายกฯ และรมต.คลัง ก็เกิดวิกฤติการณ์ราชาเงินทุนล้มเสนาะ
อุนากูล ก็ส่งสมพงษ์ ธนะโสภณ เข้าไปดำเนินการแก้ไข แต่ถูกเสรี ทรัพย์เจริญและผู้ถือหุ้นจำนวนหนึ่งขัดขวาง
เมื่อลงเอยกันไม่ได้ เสนาะก็ขอถอนตัว "เวลานั้นมีนายทหารหลายคนเป้นลูกค้าราชาเงินทุนก็ไปวิ่งเต้นเกรียงศักดิ์
ให้ช่วยแก้ปัญหา" เสนาะขอลาออกจากการเป็นผู้ว่าการฯด้วย ความอึดอัดใจ
สถานการณ์การเงินขณะนั้นปั่นป่วนมาก พอราชาเงินทุนล้มบรรดา บริษัท การเงินแห่งอื่น
ๆ ก็เจอผลกระทบไปด้วยเป็นลูกโซ่
นุกูล ประขวยเหมาะจากรมบัญชีกลางก็เข้ามาแทนเสนาะ ภารกิจแรกของนุกูลคือพยายามแก้ไขวิกฤติการณ์เสถียรภาพทางการเงินและเศรษฐกิจที่กำลังประสบทั้งปัญหาภายในคือราชาเงินทุนล้มและเงินเฟ้อ
ซึ่งเป็นผลกระทบจากวิกฤติการณ์ราคาน้ำมันแพง อัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกกำลังทะยานสูงขึ้นขณะที่โครงสร้างดอกเบี้ยในประเทศถูกกำหนดเพดานไว้ที่
15% ถ้าไม่มีการปรับดอกเบี้ยในประเทศเงินทุนจะไหลอกเหตุนี้นุกูลจึงเสนอให้มีการออกกม.อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของสถาบันการเงินในปี
2523 ซึ่งให้สิทธิแบงก์ชาติกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้กู้ของสถาบันการเงินเกินกว่า
15% ตามที่กำหนดไว้ในกม.แพ่งฯ
ความตึงเครียดระหว่างแบงก์ชาติกับคลังเริ่มขึ้นมาอีก เมื่อสมหมาย ฮุนตระกูลเข้ามาเป็นรมต.คลังในปลายปี
2523 ความเข้มงวดทางการเงินได้ถูกนำมาใช้ เพื่อแก้ไขเสถียรภาพค่าเงินบาทที่เกิดขึ้นจากการขาดดุลการค้าและชำระเงิน
"สมัยนุกูลมีการปรับค่าเงินบาท 2 ครั้งในปี 2524 คือเดือนพฤษภาคมจาก
19.80 บาทต่อดอลล่าร์เป็น 21 และกรกฎาคมเป็น 23 บาท" กำจรสถิรกุลเขียนระบุไว้ในหนังสืองานศพพิสุทธิ์
นิมมานเหมินท์เมื่อ 4 ปีก่อน
นูกุลเป็นคนแข็งในหลักการ พูดจาตรงไปตรงมา เป็นคนยอมหักแต่ไม่ยอมงอ จุดหนึ่งที่นุกูลขัดแย้งกับสมหมายรุนแรงคือ
การแก้สถานการณ์การล้มของสถาบันการเงินโดยการจัดตั้งสถาบันประกันเงินฝากเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ผู้ฝากเงินซึ่งสมหมายไม่เห็นด้วยและเก็บดองแช่เย็น
เหตุผลที่สมหมายไม่เห็นด้วยเพราะไม่เชื่อในสถาบันประกันเงินฝากที่ทำไมจะต้องไป
ลงโทษสถาบันการเงินที่เขาบริหารงานกันดีขณะที่สถาบันการเงินแห่งอื่นบริหารงานกันอย่างเหลวแหลกขณะที่นุกูลเห็นว่าเป็นความจำเป้นเพื่อป้องกันการสูญเสียของประชาชน
"สมหมายมองว่านุกูลกำลังดัดหลังตัวเพราะกระแสเรียกร้องให้รัฐบาลจัดตั้งสถาบัน
ประกันเงินฝากขยายไปถึงกลุ่มสถาบันการเงินบางแห่งและส.ส.ในสภารวมทั้งรัฐมนตรีบางคน"
ผู้จัดการ ฉบับกันยายน 2527 ได้วิเคราะห์ไว้เช่นนี้
แล้วในที่สุดสมหมายก็ปลดนุกูลออกจากการเป็นผู้ว่าการฯขณะที่นุกูลเดินทางไปประชุมไอเอ็มเอฟที่วอชิงตัน
ความขมขื่นของธนาคารกลางที่ในกฎหมายเขียนไว้ให้อยู่ภายใต้กระทรวงการคลังย่อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอในยามที่ผู้ว่าการฯอ่อนแอและด้อยบารมีหรือในอีกข้างหนึ่งแข็งหยิ่งยะโสเกินไป
"ในประวัติศาสตร์เกือบ 50 ปีของแบงก์ชาติมีผู้ว่าการฯมา 12 ท่าน กล่าวถึงที่สุดมีเพียง
2 ท่านเท่านั้นที่มีบารมีคือหม่อมเจ้าวิวัฒนไชยและดร.ป๋วยที่รัฐบาลไม่กล้าทำอะไร"
อดีตพนักงานแบงก์ชาติเล่าถึงบทบาทผู้ว่าการฯ ที่มีมาในอดีตให้ "ผู้จัดการ"
ฟัง
การปลดกำจรเมื่อวันที่ 6 มีนาคม จึงเป้นเพียงฉากหนึ่งของประวัติศาสตร์แบงก์ชาติที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ชวลิต ธนะชานันท์ ลูกหม้อที่ทำงานกับแบงก์ชาติมา 30 ปีขึ้นมาแทนกำจร เป็นผู้ว่าการฯคนที่
13 เขาจบเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ในอังกฤษ ด้วยทุนของคุรุสภา
หลังจากนั้นก็กลับมาทำงานใช้ทุนที่ประสานมิตร (เดิมคือวิทยาลัยวิชาการศึกษา)
อยู่ 2 ปีคุณหญิงสุภาพ ยศสุนทร ก็แนะนำให้องค์การยูซ่อม ซึ่งเป็นหน่วยงานช่วยเหลือของรัฐบาลสหรัฐ
ยืมตัวไปทำงานในตำแหน่งเศรษฐกร เขาอยู่ยูซ่อมได้ 3 ปี ก็ถูกยืมตัวไปเป็นที่ปรึกษาผู้ว่าการฯ
โชติ คณะเกษมในปี 2502
เมื่อดร.ป๋วยเข้ามาแทนโชติ ก็ทำเรื่องขอย้ายชวลิตจากประสานมิตรมาอยู่ที่แบงก์ชาติจนสำเร็จในปี
2503 และอยู่ที่แบงก์ชาติจนถึงวันนี้
ชวลิตเป็นเศรษฐกรอยู่แผนกวิชาการมาตลอดเป็นนักคิดและนักเทคนิคการเงินที่มีประสบการณ์สูงมีความรอบรู้ในประวัติศาสตร์การเงินของโลก
ที่สำคัญมีมโนภาพเชิงประวัติศาสตร์ของแบงก์ชาติมากที่สุดในบรรดาผู้บริหารระดับสูงด้วยกัน
"การปรับค่าเงินบาทในปี 2527 ยุคสมหมายเป็นรมต.คลังและกำจรเพิ่งเป็นผู้ว่าการฯ
ท่านรองฯชวลิตเป็น INSTRY MENT ที่สำคัญที่สุด" เอกกมล คีรีวัฒน์ อดีต
สมุหบัญชีกองทุน รักษา ระดับฯขณะนั้น (ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยผู้ว่าการฯ) เล่าย้อนบทบาทอดีต
ของชวลิตให้ฟัง
ชวลิตเป็นผู้จัดการกองทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนมาตั้งแต่ปี 2519 และเพิ่งจะลาออกหลังได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการฯแทนกำจรคงเหลือบทบาทไว้แต่เพียงเป็นกรรมการเท่านั้น
บุคคลที่คาดหมายว่าจะเป็นผู้จัดการกองทุนแทนชวลิตไม่วิจิตร สุพินิจ ก็ชัยวัฒน์
วิบูลย์สวัสดิ์
วิจิตรเป็นผู้ช่วยผู้ว่าการที่รู้เรื่องการธนาคารดีที่สุดคนหนึ่งขณะที่ชัยวัฒน์เคยเป็นผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนฯมาก่อน
"ผมเชื่อว่าพี่วิจิตรน่าจะได้เป็นผู้จัดการฯ" แหล่งข่าวระดับสูงทายใจชวลิตซึ่งเป็นผู้เลือกผู้จัดการฯให้
"ผู้จัดการ" ฟัง
บทบาทของชวลิตต่อนี้ไปอีก 6 เดือนเป็นช่วงเวลาที่เขาจะสามารถทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการปูโครงสร้างระบบการเงินของประเทศให้รองรับกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลกในทศวรรษนี้
ซึ่งสิ่งนี้เขาต้องสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาด้วยความกล้าหาญให้รมต.คลังและนายกฯเชื่อในความเห็นของแบงก์ชาติ
เขาเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่าตลาดการเงินของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก
ภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้มีบทบาทสำคัญที่จะกลายเป็นแหล่งลงทุนทั้งในเชิงเศรษฐกิจและการเงิน
ซึ่งทุกประเทศในภูมิภาคนี้ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย อินโดนีเซียต่างกำลังแข่งขันแย่งชิงตลาดลงทุนนี้
การที่ไทยจะสู้กับประเทศต่าง ๆ ได้ต้องทำให้ตัวเรามีความแข็งแกร่งซึ่งวิธี
"ปล่อยให้มีการแข่งขันอย่างเสรีในประเทศ" มากขึ้นเป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้สถาบันธุรกิจไทยมีความแข็งแกร่งขึ้น
พูดอีกนัยหนึ่งใครแข่งขันสู้ไม่ได้ก็ปล่อยให้แจ้งไป รัฐไม่ควรเข้าช่วยเหลือ
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในกฎการแข่งขันเสรีของชวลิตชัดเจน
การปล่อยให้ดอกเบี้ยเงินฝากทุกประเภทยกเว้นเงินฝากออกทรัพย์ลอยตัวไม่มีเพดานเมหือนก่อน
และขยับเพดานดอกเบี้ยเงินกู้เป็น 16.5% จาก 15% เมื่อกลางเดือนมีนาคมเป็นตัวอย่างที่ชี้ชัดถึงความเชื่อในการแข่งขันเสรีของเขาที่เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่สถาบันการเงินจะต้องเรียนรู้การแข่งขันด้วยตนเอง
ทันทีที่เขาเป็นผู้ว่าการฯเขาเตรียมแผนพัฒนาระบบการเงินที่มีลักษณะ "เสรี"
ไว้แล้วซึ่งมี 4 แนวคือ
หนึ่ง - ผ่อนคลายการควบคุมปริวรรตเงินตราต่างประเทศให้มากที่สุดภายใน 2
เดือน เหตุทีเสนอแนวทางนี้ เนื่องจากฐานะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ปัจจุบันมั่นคงมากเมื่อเทียบกับ
การนำเข้ามีค่าสูงถึง 6 เดือน (ประมาณเกือบ 12 พันล้านดอลล่าร์) เทียบกับมูลค่านำเข้าประมาณ
3 เดือนของปี 2529 และอีกประการหนึ่งการที่ประเทศไทยบอกรับมาตรา 8 ของไอเอ็มเอฟต้องเปิดช่องให้เงินทุนสามารถเคลื่อนย้ายเข้าออกได้สะดวกขึ้น
ซึ่งจะเป็นแรงกระตุ้นให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามามากขึ้นและเปิดโอกาสให้ไทยมีความพร้อมที่จะก้าวไปสู่เป็นศูนยืกลางการเงินแห่งหนึ่งในภูมิภาคนี้
"เวลานี้การนำเงินออกเพื่อการท่องเที่ยวหรือการโอนไปให้บุตรหลานในต่างประเทศยังถูกควบคุมวงเงินอยู่
หรือการส่งกำไร และเงินปันผลออก แม้จะไม่จำกัดจำนวนแต่เราก็ต้องดูว่าความเรียบร้อยด้านภาษีถูกต้องหรือยัง"
ซึ่งข้อเข้มงวดเหล่านี้ก็จะผ่อนคลายน้อยลงเพื่อความสะดวกมากขึ้น
นอกจากนี้ในกรณีส่งเงินออกเพื่อลงทุนในต่างประเทศก็จะใช้การพิจารณาในกรอบที่ว่าเป็นการลงทุนที่มีประโยชน์ต่อการส่งออก
และเพิ่มผลิตภาพในการผลิตหรือเปล่าโดยแบงก์ชาติจะทำหมวดหมู่ประเภทธุรกิจที่แบงก์ชาติอยากให้ไปลงทุน
ไว้ถ้าเข้าขายก็อนุญาตเลยอัตโนมัติ ซึ่งในเวลานี้แบงก์ชาติยังต้องดูฐานเงินของผู้ลงทุนก่อนว่ามีหรือไม่
สอง - เข้มงวดการกำกับตรวจสอบสถาบันการเงินและธนาคารพาณิชย์มากขึ้น เหตุผลก็คือเวลานี้แบงก์ชาติยังไม่มีหลักเกณฑ์ที่ดีเพียงพอในการวัดสินทรัพย์เสี่ยงต่อเงินกองทุนซึ่งแม้จะกำหนดสัดส่วนไว้เท่ากับ
8% ตามมาตรฐานข้อตกลงที่บราเซิล ของบีไอเอส แต่มันก็ยังไม่ได้สะท้อน ความพอเพียงของทุนได้ดีเนื่องจาก
"เรายังไม่มีการคำนวณค่าถ่วงน้ำหนักในสินทรัพย์เสี่ยงแต่ละประเภทบางรายการเช่นสินเชื่อเกษตรที่กำหนดให้แบงก์ปล่อยสินเชื่อไม่ต่ำกว่า
20% ของเงินฝากเราก็ไม่นับรวมเข้าเป็นสินทรัพย์เสี่ยง เนื่องจากเห็นว่าเป็นนโยบายของรัฐบาล
ที่ต้องการช่วยเหลือเกษตรกร หรือแม้แต่สินเชื่อให้กู้แก่รัฐวิสาหกิจก็ไม่นับรวมเข้าเป็นสินทรัพย์เสี่ยงเช่นกัน
ทั้งที่ว่าไปแล้ว มันมีความเสี่ยงสูงไม่น้อย" ชวลิตพูดถึงจุดอ่อนจุดหนึ่งของระบบตรวจสอบและการกำกับแบงก์พาณิชย์ที่เห็นว่าจะต้องมีการปรับปรุง
แม้ว่าเขาจะเห็นว่าสิ่งนี้เป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและต้องใช้ความสามารถในการอธิบายให้รัฐบาล
(รมต.คลัง) ยอมรับก็ตาม
ชวลิตมีความเชื่อว่าถ้ามีเป้าหมายให้สถาบันการเงินมีความเข็มแข็งขึ้นและมีกำลังขีดความสามารถเพียงพอในการแข่งขัน
มาตรการทางการเงินบางประการที่สร้างภาระให้สถาบันการเงินแบกรับอยู่เช่นการดำรงพันธบัตรสำรองกฎหมายไว้
16%ของเงินฝากซึ่งถึงแม้ว่าจะมีดอกเบี้ยก็ตามแต่ก็ยังต่ำเมื่อเทียบกับอัตราตลาดนั้น
ควรจะผ่อนคลาย ลงได้
สาม - การพัฒนาตลาดและตราสารการเงินเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ชวลิตเห็นว่าต้องมีการสนับสนุนให้สถาบันการเงินเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาตลาดการเงินมากขึ้น
ซึ่งสิ่งนี้ต้องมีการปรับปรุงกฎหมายด้านภาษีอากรให้ชัดเจนในลักษณะที่ว่าตราสารการเงินประเภทไหนควรเสียภาษีหรือไม่อย่างไร
แนวความคิดการพัฒนาตราสารการเงินเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อตลาดการเงินไทยที่แบงก์ชาติ
และชวลิตรเห็นว่าจะเป็นตัวกระตุ้นให้เส้นทางสู่การเป็นศูนย์การเงินในภูมิภาคนี้มีภาพที่ชัดเจนขึ้นและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของสถาบันการเงินไทย
สี่ - การปรับปรุง ระบบการชำระเงิน ชวลิตมีความเห็นว่าทุกวันนี้เทคโนโลยีการสื่อสารดทรคมนาคมมีความก้าวหน้ามาก
สถาบันการเงินแต่ละแห่งมีการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อการชำระเงินมากมายเพราะต่างเห็นว่าเป็นหัวใจของธุรกิจในการให้บริการลูกค้า
"สมัยก่อนลูกค้ารายใดเปิดบัญชีที่สาขาไหนก็จะต้องชำระเงินที่สาขานั้น
แต่เดี๋ยวนี้จะชำระที่สาขาไหนก็ได้ทั่วประเทศ เพราะสถาบันการเงินได้ลงทุนเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เชื่อมโยงเครือข่ายสาขาทุกแห่งเข้าไว้ด้วยกัน"
แม้ระหว่างสถาบันการเงินด้วยกันเอง เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เพือ่การหักบัญชีได้ทำให้ระบบการหักบัญชีแม่นยำรวดเร็วขึ้น
การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีด้านการชำระเงินที่รวดเร็วนี้ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่การควบคุมวางแผนและปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ด้านการหักบัญชีของแบงก์ชาติจะต้องมีบทบาทมากขึ้น
แนวทางปรับปรุงและพัฒนาระบบการเงิน 4 แนวนี้ มีทิศทางชัดเจนที่เปิดทางให้ระบบการเงินไทยในทศวรรษที่
1990 มีการแข่งขันที่เสรีมากขึ้นโดยผ่อนคลายมาตรการการควบคุม (DEREGULATION)
ลงซึ่งสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของแกตต์ที่ให้ประเทศสมาชิกยกเลิกมาตรการทุกอย่างที่เป็นอุปสรรค
ต่อการค้าเสรี
ชวลิตได้เน้นความสำคัญก่อนหลังของแนวทางการผ่อนคลายการควบคุมปริวรรตเงินตราว่าเป็นสิ่งแรกที่จะต้องรีบกระทำโดยด่วน
"ผมมั่นใจแบงก์ชาติสามารถทำได้ภายในเวลาอันสั้น แต่คงต้องขอความเห็นจากรมต.คลังและครม.ก่อนแต่ไม่มีปัญหาแน่นอน"
ส่วนรมต.คลังคือประมวลจะเห็นชอบไหมคำถามนี้คงไม่ยากเมื่อดูจากการรับข้อเสนอปรับดอกเบี้ยของชวลิตที่ประมวลค้านและพยายามเตะถ่วงมาตลอดเป็นเวลาถึง
3 เดือน
ผู้บริหารระดับสูงในแบงก์ชาติพูดถึงชวลิตว่าเขาเข้ามาในจังหวะที่เหมาะเนื่องจากหนึ่ง
- สถานการณ์เศรษฐกิจการเงินกำลังต้องการนายธนาคารกลางที่กล้าเสนอให้รัฐบาลยอมรับ
ในมาตรการส่งสัญญาณเตือนภัยเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่กำลังถูกคุกคามจากการเติบโตทางเศรษฐกิจอัตราปีละ
10% สอง - ปัญหาความอ่อนแอของสถาบันการเงินที่เกิดขึ้นอย่างยาวนานเริ่มฟื้นตัวขึ้น
NETWORTH ก็ดูดีขึ้นหลังจากทางการได้ให้การช่วยเหลือและหลักทรัพย์พวกที่ดินมีราคาสูงขึ้น
ทิศทางการดำเนินนโยบายทางการเงินต่อไปของแบงก์ชาติอยู่ที่ตัวผู้ว่าการฯจะต้องมีมโนภาพที่ยาวไกล
ทั้งในภาพรวมและส่วนย่อยภายใต้บรรยากาศที่ทั่วโลกกำลังตื่นตัวในการแข่งขัน
ซึ่งความเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ของชวลิตทำให้เขามีมโนภาพเหล่านี้ชัดเจน "ท่านเป็นคนอ่อนนอกแต่แข็งใน
เชื่อว่าท่านเป็นเทคโนแคตเต็มตัวคงไม่ยอมหใมาตรการทางการเงินที่แบงก์ชาติเสนอรมต.คลังถูกพิจารณาในกรอบการเมืองง่าย
ๆ เหมือนที่แล้วมา"
ชวลิตมีเวลาถึงกันยายนนี้ก็จะเกษียน นั่นหมายความว่าเขาจะมีเวลาอีกประมาณ
6 เดือนที่จะทำงานในฐานะผู้ว่าการฯ
เวลาที่เหลือ นอกจากจะต้องวางพื้นฐานนโยบายการเงินของประเทศตามแผนงานซึ่งมี
4 แนวทางดังที่เขาได้แถลงแล้วเขายังมีภาระกิจอีกอันหนึ่งที่สำคัญคือการบริหารงานภายใน
"ผมจะกระจายงานและอำนาจสู่ระดับ ล่างจะไม่รวมศูนย์เหมือนเช่นที่ผ่านมาโดยตัวผมเองจะทำเฉพาะงานด้านนโยบายเท่านั้น"
ชวลิตเล่าถึงสไตล์บริหารงานของเขาให้ฟัง
ในสมัยกำจรมีการวิพากษ์วิจารณืกันมากกว่ากำจรทำงานในรายละเอียดมากเกินไป
เช่น งานปรับปรุงตึกเก่าแทนที่จะปลอ่ยให้ระดับล่างทำไปก็ลงไปเล่นเสียเอง
ก็ทำให้คนทำงานเอือมระอาแม้กำจรจะมีเจตนาดีก็ตาม แต่มันได้สะท้อนสไตล์การบริหารงานที่ไม่ถูกต้อง
ใครจะมาเป็นรองผู้ว่าการฯและผู้ช่วยผู้ว่าการฯ สิ่งนี้เป็นงานบริหารภายในชิ้นหนึ่งที่ชวลิตจะต้องทำโดยไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งภายในหมู่ผู้บริหารแบงก์ชาติ
ไพศาล กุมาลย์วิสัย เป็นนักกฎหมายมีฐานะเป็นผู้ช่วยผู้ว่าการคุมสายงานด้านกำกับตรวจสอบสถาบันการเงินและธนาคารพาณิชย์เขาจะเกษียณพร้อมชวลิต
ถ้านับความอาวุโสก็มาเป็นคนแรกที่ขึ้นรองฯ
ชวลิตเสนอไพศาลต่อประมวลให้เป็นรองผู้ว่าการฯ ด้วยเหตุผลที่ฉลาด "ท่านไม่เปลืองตัวด้วยเรื่องแบบนี้หรอกไหน
ๆ ท่านก็จะเกษียนพร้อมผู้ช่วยไพศาลอยู่แล้ว ก็โยนให้รัฐบาลเลือกรองฯ เองหลังกันยาฯดีกว่า"
แหล่งข่าววิเคราะห์ให้ฟังหลังทราบว่ารัฐบาลแต่งตั้งไพศาลเป็นรองฯ
แต่ตำแหน่งรองผู้ว่าการฯต้องมีการต่อเนื่องไม่เป็นผลดีที่หลังกันยาฯเก้าอี้ผู้ว่า
และรองฯจะว่างลงพร้อมกัน เพราะหนึ่ง- จะทำให้เกิดความสับสนในหมู่ผู้ต้องทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับแบงก์ชาติว่าใครจะมานั่งแทน
สอง-จะมีกระแสการ วิ่งเต้นและความตึงเครียดที่อาจเกิดขึ้นในหมู่ผู้บริหารระดับสูงในแบงก์ชาติและเส้นสายการเมืองภายนอกเพื่อหวังได้ตำแหน่ง
สาม-ตำแหน่งรองผู้ว่าการฯและผู้ว่าการมีความหมายต่อหน้าตาของประเทศเพราะเป็นผู้มีกำหนดนโยบายและมาตรการทางการเงินของชาติถ้าปล่อยให้ว่างลงพร้อม
ๆ กันจะเสียหายมาก
จึงเป็นไปได้มากกว่าแบงก์ชาติจะมีรองผู้ว่าการ 2 คน พร้อมกันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในช่วง
ก่อนชวลิตและไพศาล เกษียณ
"นายกชาติชายท่านเห็นด้วย 100% ในหลักการถ้าไม่มีอะไรผิดปกติจากนี้คงเข้าครม.อังคารที่
3 เมษายนนี้ ส่วนรมต.ประมวลท่านก็ยอมรับเช่นกัน" แหล่งข่าวใกล้ชิดนายกเล่าให้ฟัง
มองในแง่นี้วิจิตร สุพินิจมีโอกาสที่สุดเพราะหนึ่ง-วิจิตรมีสไตล์และบุคลิกภาพแบบนายธนาคารกลางแท้
ๆ เป็นที่ยอมรับต่อแบงก์เกอร์เอกชนทั่วไป สอง-วิจิตรเป็นนักเรียนทุนแบงก์ชาติรุ่นแรกที่ดร.ป๋วยส่งไปเรียนเขาจบจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ในสาขาเศรษฐศาสตร
ที่เดียวกับชวลิตและต่อมาไปจบโท ที่มหาวิทยาลัยเยสหรัฐผ่านสายงานในแบงก์
ชาติทางวิชาการมา ตลอดจนเป็นผอ.ฝ่ายวิชาการ ก่อนหน้าที่จะขึ้นมาคุมสายงานการธนาคาร
และวิกชาการในตำแหน่งผู้ช่วยฯมีมโนภาพทางเศรษฐศาสตร์สูงเหมือนชวลิตทุกกระเบียดนิ้วจุดที่แข็งมาก
ๆ ที่ทุกคนไม่รู้ก็คือวิจิตรเป็นเทคโนแคตที่บรรดาที่ปรึกษานายกบ้านพิษณุโลกยอมรับมากที่สุด
"ข้อมูลหลายชิ้นที่บ้านพิษณุโลกใช้ในการวิเคราะห์ก็ได้มาจากการเชื่อมโยงดาต้าเบสกับหน่วยงานของวิจิตร"
ถ้าวิจิตรเป็นรองผู้ว่าคู่กับไพศาลโครงสร้างระดับผู้ช่วยฯ ก็มีการรับกันครั้งใหญ่เอกกมล
คีรัวัฒน์ ชัยวัฒน์วิบูลย์สวัสดิ์ เริงชัย มะระกานนท์ นิตย์ ศรียาภัย (เป็นอยู่เดิม)
และปกรณ์ มาลากุลฯเป็นกลุ่มที่กินตำแหน่งผู้ช่วยฯแน่นอนเมื่อดูจากความสามารถที่ได้รับการยอมรับและความอาวุโสในตำแหน่ง
เอกกมล เป็นนักเรียนทุนแบงก์ชาติจบจากฮาวาร์ดสาขาบริหารธุรกิจ เคยเป็นผอ.ฝ่ายกำกับตรวจสอบแบงก์ฯมาก่อนหน้าจะเดินทางไปเป็นกรรมการบริหารสำรองไอเอ็มเอฟ
พอกับมาปลายปีที่แล้วก็ขึ้นมาเป็นผู้ช่วยผู้ว่าฯดูแลสายงานธนาคารและงานบริการบุคคล
ว่ากันว่า ชวลิตยกย่องความสามารถมากแม้เอกกมลจะมีจุดอ่อนด้านบุคลิกที่ออกจะตึงตัง
ตรงไปตรงมาในการพูดจา "ผู้ใหญ่มักจะมองผมเหมือนเด็ก" เอกกมลพูดถึงตัวเขาให้ฟัง
แต่กระนั้นก็ตามเป็นไปได้สูงที่ชวลิตจะย้ายเข้ามาคุมสายงานกำกับฯ "ที่ผมเชื่อเช่นนี้เพราะทราบว่าท่าน
(ชวลิต) เชื่อมือพี่เอกฯมาก ๆ จึงได้มาคุมสายนี้ซึ่งท่านเห็นว่าเป็นหัวใจของงานแบงก์ชาติแล้วอีกอย่างหนึ่งพี่เอกเคยผ่านงานกำกับธนาคารมาแล้วตอนปี
2528 คอยดูตอนเลือกผู้จัดการกองทุนรักษาระดับฯ ถ้าไม่ใช่เป็นพี่เอกก็ตามโผที่ผมวิเคราะห์เพราะเวลานี้พี่เอกคุมสายการธนาคารอยู่ตามหลักแล้วจะต้องได้เป็นผู้จัดการกองทุนฯ"
แหล่งข่าววิเคราะห์
ชัยวัฒน์ เป็นนักเรียนทุนแบงก์ชาติอีกคนหนึ่งที่จบปริญญาเอกเศรษฐศาสตร์จากเอ็มไอทีเมื่อปี
2516 เป็นผู้อำนวยการฝ่ายหลังเอกกมล 2 ปี เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์มาก
ๆ เคยช่วยสุนทร หงส์ลดารมภ์สมัยสุนท รเป็นรองนายกฝ่ายเศรษฐกิจในรัฐบาลเกรียงศักดิ์เมื่อปี
2521 ก่อนจะขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้ว่าการแทนที่ไพศาล เขาเป็นผอ.ฝ่ายวิชาการและกำกับตรวจสอบธนาคารฯมาก่อน
ปกรณ์ เป็นนักเรียนเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยควีนส์ในเบลฟาส ไอร์แลนด์เหนือมหาวิทยาลัยเดียวกับอากร
ฮุนตระกูลแห่งอิมพีเรียลกรุ๊พ เขาเป็นนักบัญชีมือดีคนหนึ่งและมีประสบการณ์ในการบริการงานแบงก์มหานครมาก่อน
สมัยผู้ว่ากำจรย้ายเขาจากผอ.สาาภาคเหนือไปนั่งเป็นกรรมการรองผู้จัดการและกรรมการผู้จัดการที่มหานครช่วงแบงก์ชาติเข้าควบคุมกิจการ
เขาเป็นผอ.ฝ่ายที่อาวุโสคนหนึ่งเคยคุมฝ่ายการพนักงานและการธนาคารจึงมีสิทธิ์ขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้ว่าการฯ
พอ ๆ กับจรุง หนูขวัญ แต่จรุงมีงานค้างที่โครงการ 4 เมษาจึงยังคงไปไหนไม่ได้ทำให้ปกรณ์เด่นขึ้นมา
แทน
นิตย์ เขาเป็นผู้ช่วยผู้ว่าการฯที่จะเกษียนพร้อมชวลิต ไพศาล นิตย์คุมสายงานการผลิตด้านธนบัตรอุปมาอุปมัยเหมือนสายโรงงาน
คนที่ขึ้นมาแทนเขาคงไม่พ้นเจริญ บุญมงคลที่คุมฝ่ายออกบัตรและเป็นผอ.ฝ่ายที่อาวุโสที่สุดในสายนี้
เริงชัย เป็นนักเรียนทุนแบงก์ชาติจบเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเคโอะและแอลเอสอีเคยเป็นรองกรรมกาผรู้จัดการแบงก์กรุงไทยสมัยกำจรเป็นผู้ว่าการฯ
เป็นคนสู้งานมาก ว่ากันว่าสมัยอยู่แบงก์กรุงไทยได้สร้างแนวคิดการแก้ปัญหาหนี้สินของสุระ
สว่างเสธ.พลได้เฉียบขาดมาก แต่โชคร้ายขาดแรงหนุนจากผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลัง
จึงต้องเดินออกมาด้วยความว่างเปล่าในผลงานกลับมาอยู่แบงก์ชาติกำจรก็อ้าแขนรับให้กินตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้ว่าการฯคุมสายงานแม่บ้าน(ธุรการ)
ปัจจุบันโครงสร้างสายงานบริหารในแบงก์ชาติมีทั้งหมด 5 สายงาน ที่มีความสำคัญสูงสุด
มี 2 สายงานคือสายงานกำกับตรวจสอบฯที่เอกกมลคุม
เป็นไปได้ว่าการที่มีรองผู้ว่าฯ 2 คนคือไพศาลกับวิจิตรนั้น คงต้องมีการจัดสรรสายงานกันใหม่ตามความชำนาญ
เป็นไปได้ว่าชวลิตคงถ่ายเทงานด้านสายงานวิชาการและการ ปริวรรตสายงานกำกับตรวจสอบฯ
สายงานการธนาคารซึ่งเป็นงานด้านเทคนิคให้วิจิตร ขณะที่ไพรศาลดูแลสายงานด้านธุรการและสายงานโรงพิมพ์โครงสร้างอำนาจในรูปนี้มีความเป็นไปได้สูงด้วยเหตุผลหนึ่ง-ชวลิตได้แสดงทัศนะออกมาอย่างชัดเจนถึงการเข้าใจอย่างลึกซึ้งในบทบาทที่แบงก์ชาติจะต้องกระทำต่อไปหลังตนเาองเกษียนแน่นอนว่าคนที่จะสืบทอดแนวทาง
4 ประการ ตามแผนงาน 3 ปีที่ได้แถลงไปต้องเป็นคนที่มีมโนภาพที่แหลมคมและสามารถรับสานต่อได้
สอง-กลุ่มที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก ล้วนเป็นนักเทคโนแคตรุ่นหนุ่มสาวที่มีมโนภาพทันสมัยเฉกเช่นผู้บริหารระดับสูงในแบงก์ชาติ
ซึ่งเชื่อวกันว่าทีมบ้านพิษณุโลกจะเป็นแรงหนุนที่มีพลังต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเก่าของโครงสร้างอำนาจที่มีอยู่เดิม
นัยยะของความตรองนี้แสดงออกมาแล้วในกรณีการสนับสนุนให้ชวลิตขึ้นมาเป็นผู้ว่าการฯแทนกำจรโดยผลักดันผ่านทางนายกชาติชายดังที่
"ผู้จัดการรายสัปดาห์" ได้รายงานมาแล้วอย่างละเอียดในฉบับวันที่
12 ถึง 18 มีนาคมถึงเบื้องหลังการปลดกำจร
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่สำคัญที่ทุกคนสนใจก็คือ หลังกันยายนนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจในแบงก์ชาติอย่างไร
มีผู้บริหารระดับผู้ช่วยผู้ว่าการฯขึ้นไป 3 คนครอบเกษียนพร้อมกันคือชวลิต
ไพศาล และนิตย์ ศรียาภัย กล่าวสำหรับชวลิต แม้จะมีการตั้งข้อสังเกตกันว่าตำแหน่งของเขาเป็นการเมือง
และตัวเขาเองนับตั้งแต่ได้รับแต่งตั้งเป็นรองผู้ว่าการฯตั้งแต่ปี 2527 ก็ไม่ใช่พนักงานของแบงก์ชาติอีกต่อไป
"เงินเดือนของรองผู้ว่าและผู้ว่การฯกำหนดโดยครม.ไม่ใช่กรรมการแบงก์ชาติเหมือนผู้บริหารระดับผู้ช่วย"
นักกฎหมายในแบงก์ชาติให้ข้อสังเกต
มองในแนวนี้ สมมุติว่าถ้ารัฐบาลยังต้องการให้ชวลิตอยู่ต่อไปก็ย่อมทำได้
เพราะชวลิตทำงานในแบงก์ชาติด้วยตำแหน่งทางการเมืองจึงไม่มีเกษียนอายุ ชวลิตก็ยอมรับว่า
"เขาไม่อยู่ในวิสัยที่จะพูดเรื่องนี้ได้โดยส่วนตัวแล้วก็คิดอยู่เพียงว่ามีเวลาทำงานเหลืออีก
6 เดือนเท่านั้น"
ชวลิตคงไม่มีโอกาสอยู่เลยเกษียนแน่ เมื่อพิจารณาจากกรอบของ ประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยมีผู้ว่าการคนไหนเลยที่อยู่ในตำแหน่งถึงเกษียนยกเว้นพิสุทธิ์
นิมมานเหมินท์เพียงคนเดียวที่สามารถเป็นผู้ว่าการถึงเกษียน
ใครจะมาเป็นผู้ว่าการฯแทนชวลิต
ชวลิตพูดถึงคุณสมบัติของ "คน" ที่จะมาเป็นผู้ว่าการฯว่าหนึ่ง-ต้องเป็นคนที่บรรดาสถาบันการเงินทั่วไปยอมรับนับถือในความสามารถมีจริยธรรมของความเป็นนายธนาคารกลางแท้จริง
สอง-ต้องเป็นคนที่มีบารมีประกอบด้วยความกล้าหาญและความสามารถในการพูดอธิบายจูงใจรัฐบาลให้คล้อยตาม
เอกกมล คีรีวัฒน์ เน้นความสำคัญของตำแหน่งผู้ว่าการให้ฟังว่า "มันสำคัญเกินกว่าที่จะตีกรอบลงไปว่าจะต้องมาจากคนภายในหรือภายนอกแหล่งใดแหล่งหนึ่งเท่านั้น"
เขาย้ำว่าเป็นคนจากที่ไหนก็ได้แต่ขอให้มีคุณสมบัติอย่างน้อย 2 ประการดังว่า
มองออกไปนอกแบงก์ชาติ คนที่มีคุณสมบัติและโอกาสมีไม่มากนัก ดร.ไพรจิตรเอื้อทวีกุล
เป็นคนหนึ่งที่มีคุณสมบัติและโอกาสมากที่สุด
ไพจิตรจบเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยลอนดอนและคอร์แนล ปัจจุบันเป็นประธานบริหาร
(PRESIDENT) ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศหรือทีดีอาร์ไอ (TDRI) ในอดีตเขาเป็นคนที่มีบทบาทสูงในรัฐบาลชุดพลเอกเปรมสมัยที่
1 ถึง 3 โดยในสมัยรัฐบาลเปรม 1 เขาเป็นประธานที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ
และเป็นรัฐมนตรีช่วย (รมช.) การคลังสมัยเปรม 2 และ 3 โดยการแต่งตั้งเคยเป็นกรรมการแบงก์ชาติและกรรมการบริหารธนาคารโลกหลังออกจากตำแหน่งรมช.การคลัง
ไพจิตรเป็นคนที่ตัดสินใจลดค่าเงินบาท เมื่อเทียบกับดอลลาร์จาก 21 บาทเป็น
23 บาทเมื่อกรกฎาคมปี 2524 โดยไม่หวั่นเกรงสถานภาพตนเองทำให้ถูกโจมตีอย่างมากจาบรรดาส.ส.และสื่อมวลชนบางฉบับ
และเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาตัดสินใจออกจากตำแหน่งรมช.การคลัง
ปี 2523 ถึงกลางปี 2524 เป็นปีที่ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยย่ำแย่เอามาก ๆ ศักยภาพการส่งออกตกต่ำลง
ขณะที่การนำเข้ายังสูง ทำให้มียอดขาดดุลการค้าสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 66
พันล้านบาทและดุลบัญชี เดินสะพัดขาดดุลถึง 56 พันล้านบาทเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเหลือเพียงแค่ประมาณ
2 พันล้านดอลลาร์เทียบกับมูลค่านำเข้าแล้วตกประมาณ 2.5 เดือนเท่านั้น ซึ่งเป็นระดับที่อันตราย
ต่อความมั่นคงของเสถียรภาพทางเศรษฐกิจเนื่องจากในตลาดการเงินและธุรกิจ ขณะนั้นเริ่มไม่แน่ใจในความมั่นคงของค่าเงินบาท
ไพจิตรต้องตัดสินใจปรับค่าเงินบาทเพื่อดันยอดส่งออกพร้อมลดการนำเข้า เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและดันให้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจหลุดพ้นจากความล้มละลาย
ซึ่งเวลานั้นมีสัดส่วนหนี้สินต่อมูลค่าส่งออกสูงถึง 20%
จากประสบการณ์และความสามารถนี้เป็นที่ยอมรับว่าเขาเป็นคนที่แข็ง ในหลักการมากคนหนึ่งและมีความสามารถ
พูดจาโน้มน้าวให้ครม.คล้อยตามได้เป็นการแสดงออกอันหนึ่งของคนที่พอมีบารมีอยู่บ้าง
"คนบางคนในบ้านพิษณุโลกก็ยอมรับในจุดนี้ของไพจิตร" แหล่งข่าวใกล้ชิดนายกฯกล่าว
มิติอีกอันหนึ่งในการวิเคราะห์โอกาสของไพจิตรในมุมกว้างออกไปก็คือ สถานภาพของรัฐบาลชาติชายจะยืนยาวหลังกันยายนแค่ไหน
เพราะโอกาสของไพจิตร ได้ถูกเชื่อมโยงเข้ากับพลังการยอมรับของบรรดาทีมที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลกเป็นจุดสำคัญ
มีหลายความเห็นในเรื่องนี้ บ้างก็ว่าการเปิดสภาสมัยประชุมฯ รัฐบาลคงหนีไม่พ้นถูกเล่นงานเรื่องการคอรัปชั่นที่วัฒนธรรมทางการเมืองไทยสมัยใหม่ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก
บ้างก็ว่าสถานภาพรัฐ่บาลคงไปได้ไม่มีปัญหาเนื่องจากสถาบันรัฐสภายังไม่มีความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพพอที่จะกดดันให้ชาติชายกล้ายุบสภาหรือลาออก
การมองภาพการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองด้วยเงื่อนเวลาที่ยาวอาจสุ่มเสี่ยงต่อความผิดพลาดได้ง่ายดังนั้นจะเลยจุดนี้ไปโดยไปแขวนไว้ในรูปของสมมุติฐาน
สมมุติฐานที่ว่านี้ก็คือให้รัฐบาลชาติชายจะยังคงอยู่ต่อไปซึ่งก็หมายความว่าไพจิตรน่าจะได้เป็นผู้ว่าการฯต่อจากชวลิต
ถ้าไพจิตรเป็นผู้ว่าการฯ เขาคงไม่เข้าไปก้าวก่ายโครงสร้างอำนาจบริหารภายในแบงก์ชาติมากนักเพราะหนึ่ง-เขาเป็นคนนอกที่จะต้องมีภาระกิจการ้างการยอมรับและให้ความนับถือแก่ผู้บริหารระดับต่าง
ๆ ในแบงก์ชาติเพื่อสร้างเงื่อนไขการทำงานร่วมกันในบรรยากาศที่ดีต่อไป กรณีการตบเท้าเข้าหากำจรของบรรดาผู้บริหารระดับสูงเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์เป็นตัวอย่างที่ดีถึงความข้อนี้
สอง-เขาเป็นคนที่มีจิตสำนึกแบบนักเทคโนแครตจึงย่อมเข้าใจวัฒนธรรมองค์กรเทคโนแครตอย่างแบงก์ชาติได้ดี
ดังนั้นโอกาสที่จะมีการปะทะกันในด้านจิตสำนึกหรือแม้แต่สไตล์การทำงานเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในสมัยกำจรย่อมเป็นได้น้อย
ไพจิตรเป็นผู้ว่าการขณะที่วิจิตรเป็นรองฯ ซึ่งเป็นลูกหม้อแบงก์ชาติที่รู้เรื่องงานภายในดี
จึงน่าจะเป็นโครงสร้างอำนาจที่มีส่วนผสมที่สมบูรณืประสานรองรับกับความคิดอ่านของนักเทคโนแคตในทีมบ้านพิษณุโลกได้
ขณะเดียวกันในระดับผู้ช่วยผู้ว่าการฯ ไม่ว่าจะเป็นเอกกมล เริงชัย ชัยวัฒน์
ปกรณ์และเจริญก็เป็นแผงข่ายงานบริหารภายในตามสายงานที่แต่ละคนล้วนมีประสบการณ์และความรู้ความสามารถที่คนในแบงก์ชาติยอมรับได้
คนเป็นผู้ว่าการฯต่อจากชวลิตดูน่าจะมีความสุขไม่น้อย เพราะอย่างน้อยตุลาคม
2534 เขาจะต้องมีบทบาทเป็นนายธนาคารกลางของชาติในฐานะประเทศเจ้าภาพที่ดูเด่นที่สุดในงานการประชุม
สภาคณะผู้ว่าการฯ สมาชิกไอเอ็มเอฟและธนาคารโลกซึ่งจะมีบุคคลสำคัญในธุรกิจการเงินทั่วโลกร่วม
12000 คนมาร่วมประชุม
กำจรเพิ่งจากไป ชวลิตกำลังลงจากเก้าอี้อย่างนิ่มนวลที่สุด และไพจิตรกำลังควบมาอย่างรวดเร็ว
เก้าอี้ผู้ว่าการแบงก์ชาติหลังกันยายนนี้ช่างหอมหวนนัก