Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน3 กรกฎาคม 2551
แบงก์จี้ขึ้นดบ.สกัด"เงินเฟ้อ"คาดครึ่งปีหลังขยับอีก0.50%             
 


   
search resources

ประสาร ไตรรัตน์วรกุล
กรรณิกา ชลิตอาภรณ์
เดชา ตุลานันท์
Banking and Finance




นายแบงก์หนุนธปท.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสกัด หลังเงินเฟ้อเดือนมิถุนาฯพุ่ง 8.9% "ประสาร"ชี้ต้องระดมทั้งนโยบายการเงิน การคลัง และมาตรการประหยัดในการแก้ปัญหาดังกล่าว ระบุครึ่งปีหลังดอกเบี้ยกู้-ฝากขยับได้อีก 0.25-0.50% ด้าน "แบงก์ไทยพาณิชย์" ยันเงินเฟ้อสูงยังไม่กระทบการปล่อยสินเชื่อแบงก์

นายเดชา ตุลานันท์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) เปิดเผยว่า จากอัตราเงินเฟ้อในเดือนมิถุนายนที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศออกที่ระดับ 8.9%นั้น นับว่าเป็นระดับที่สูง ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อช่วยให้อัตราเงินเฟ้อไม่ปรับตัวสูงขึ้นกว่าในปัจจุบัน แม้อัตราดอกเบี้ยเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันด้วย เนื่องจากราคาน้ำมันก็เป็นต้นทุนหลัก ที่ทำให้ราคาสินค้าทุกประเภทปรับเพิ่มขึ้นและส่งผลกระทบต่อผู้ที่มีรายได้น้อย

สำหรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยของระบบมีโอกาสปรับขึ้นได้อีก 0.50% ทั้งเงินฝากและเงินกู้ในครึ่งหลังของปีนี้ เนื่องจากสภาพคล่องในระบบเริ่มตึงตัวมากขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมัน

ทั้งนี้ การปรับขึ้นดอกเบี้ยก็อาจส่งผลกระทบต่อภาคการลงทุน ซึ่งจะมากน้อยเพียงใดต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป ขณะที่สถานการณ์ของตลาดหุ้นก็ยังคงปรับตัวลดลงสวนต่างกับปัจจัยพื้นฐานที่เป็นอยู่

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาสินเชื่อขนาดกลางและย่อม(SME)ของธนาคารยังไม่พบปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดราย(NPL) แม้ภาวะเศรษฐกิจค่อนข้างซบเซา แต่กลุ่มลูกค้าของธนาคารยังดำเนินธุรกิจไปได้ด้วยดี โดยปัจจุบันธนาคามีสินเชื่อคงค้างของ SME มูลค่า 300,000 ล้านบาท โดยฐานลูกค้าสินเชื่อ SME ของธนาคารยังเป็นอันดับ 1

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ในวันที่ 16 กรกฎาคมนี้ ในส่วนของการวิเคราะห์ในตลาดนั้นได้มองว่าน่าจะมีการปรับขึ้น อีกทั้งธปท.ก็ได้ส่งสัญญาณว่ามีความเป็นไปได้ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งหากธปท.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียงเล็กน้อยก็จะยังไม่ชัดเจนว่าธนาคารพาณิชย์จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามหรือไม่ เนื่องจากการปรับอัตราดอกเบี้ยส่วนหนึ่งจะต้องดูถึงการแข่งขันว่าเป็นอย่างไร

ทั้งนี้ หากธนาคารพาณิชย์จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ต้องมีการปรับขึ้นทั้ง 2 ขา คือปรับทั้งเงินกู้และเงินฝาก โดยมองว่าครึ่งปีหลังนี้อัตราดอกเบี้ยน่าจะปรับขึ้น 0.25-0.5% ส่วนการที่กระทรวงการคลังได้ออกมาบอกว่าอยากให้ธนาคารต่าง ๆ มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฉพาะในส่วนของเงินฝากนั้น มองว่าการปรับขึ้นจะเป็นในรูปแบบใดก็ต้องดูถึงการแข่งขันในตลาดว่าเป็นอย่างไรประกอบด้วย

สำหรับการปล่อยสินเชื่อของธนาคารในปีนี้น่าจะยังยังคงเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อรวมปีนี้ที่ 10-15% เนื่องจาก 5 เดือนแรก สินเชื่อรายใหญ่ก็ยังคงสูงกว่าเป้าที่คาดไว้ และธนาคารยังคงเป้าสินเชื่อรายใหญ่ว่าทั้งปีจะเติบโต 12-15% แต่ในส่วนของสินเชื่อเอสเอ็มอีที่ตั้งเป้าไว้ว่าทั้งปีจะเติบโต 20% นั้นอาจจะต่ำกว่าเป้าหมายไปบ้าง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและเงินเฟ้อที่สูงขึ้น แต่ธนาคารก็ได้พยายามศึกษาว่าจะเป็นไปตามเป้าหรือไม่ แต่ก็ไม่น่าจะปรับเป้าหมายไปมาก เนื่องจากมีแสินเชื่อ K-Subply Chain Solution เข้ามาเสริม

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเงินเฟ้อปัจจุบันจะสูงถึง 8.9% แต่มองว่าปัญหาดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นในเฉพาะประเทศแต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับทุกๆประเทศ เพราะมีสาเหตุมาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งวิธีแก้ไขก็ต้องใช้ทั้งนโยบายการเงิน นโยบายการคลัง รวมถึงมาตรการอื่นๆ โดยเฉพาะมาตรการการประหยัดพลังงาน ซึ่งในส่วนของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ก็ต้องมีการระมัดระวัง เนื่องจากผู้ประกอบการบางส่วนที่ไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาสินค้าได้ก็จะได้รับผลกระทบ แต่ในส่วนของธนาคารนั้นเชื่อว่าปีนี้การทำธุรกิจจะยังเป็นไปตามแผนที่วางไว้

ยันเงินเฟ้อสูงยังไม่กระทบสินเชื่อ

นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อเดือนมิถุนายนที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 8.9% นั้นไม่น่าจะมีผลกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร และจะกระทบกับภาคธุรกิจบางส่วนที่ต้องใช้ต้นทุนสูง แต่ในส่วนของการปล่อยสินเชื่อรายย่อยของธนาคารก็ยังเติบโตได้ เนื่องจากลูกค้ารายย่อยมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นค่าครองชีพในช่วงที่ผ่านมา ส่วนสินเชื่อบ้านก็ยังมีการเติบโตเช่นกัน เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนอสังหาริมทรัพย์

สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเชื่อว่าจะมีการปรับขึ้นทั้งเงินกู้และเงินฝาก แต่การขึ้นของดอกเบี้ยเงินกู้นั้นจะไม่สูงเท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก หรือไม่น่าจะสูงถึง 0.50% แต่อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะต้องขึ้นอยู่กับภาวะในตลาดด้วยว่าเป็นอย่างไร

"แบงก์ยังไม่มีการทบทวนเป้าสินเชื่อปีนี้เพราะยังไม่ถึงเวลาซึ่งสินเชื่อครึ่งปีแรกก็เติบโตดีพอสมควร แม้จะมีความไม่แน่นอนจากปัญหาด้านเศรษฐกิจโลก และราคาน้ำมัน ซึ่งปัจจุบันใกล้จะถึงการประกาศตัวเลขงบของธนาคาร แล้วและจะมีการแจ้งให้ทราบต่อไป แต่ในด้านความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ลดลงก็มองว่าไม่กระทบกับลูกค้ารายใหญ่ของธนาคารเพราะลูกค้ารายใหญ่เป็นกลุ่มที่มีความรู้ด้านเศรษฐกิจดี จึงมีการวางแม้อนาคตไว้อยู่แล้ว ส่วนสินเชื่อของทั้งระบบปีนี้คาดว่าจะโต 6-8%"   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us