"ดีซายน์-ไทย" ผู้ผลิตและค้าผ้าไหมและสิ่งทอมานาน นับตั้งแต่ปี
2503 ในนามของบริษัท BITEC THAILAND ซึ่งต่อมาแจ๊กเจียหรือเจตน์ เจียรพฤฒได้เข้ามาซื้อกิจการในปี
2517 และให้ลูกชายชื่อคลีเม้นท์ แซ่เจีย ขณะนั้นอายุ 29 ปีเป็นผู้บริหารกิจการนี้โดยเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็นบริษัท
CEBI THAILAND ได้ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นชื่อ"บริษัทดีซายน์ไทย" ในปี
2519
อาณาจักรแจ๊กเจียกรุ๊ปในยุคพ.ศ. 2513-2519 รุงเรือฝด้วยฐานความมั่นคงที่มาจากบริษัทแจ๊กเจียอุตสาหกรรม
(ไทย) เดิมชื่อ "บริษัทโอ้วปา บราเดอร์ส (ไทย) " ผู้ผลิตยาหม่องตราเสือที่คนไทยนิยมใช้กันมานานโดยสองพี่น้องตระกูลโอ้วบุนปา
(AW BOON PAR,) โอ้วบุนโฮ้(AW BOON PAR) และลูกชายโอ้วบุนปาคือ ดร.โอ้วเชงไฉ่ได้เข้ามาตั้งโรงงานผลิตยาในเมืองไทย
โดยมีลี สันติ พงศ์ไชย ซึ่งได้โอนสัญชาติจากพม่าโดยมีชื่อเดิมว่า"อูคิน
หม่องเซ็น" หรือ "ลี เอี๊ยก ซิม" พี่เขยร่วมบริหารด้วยจนกระทั่งปี
2514 ดร.โอ้วเชงไฉ่ซึ่งเป็นคนอ้วนมากเสียชีวิตด้วยเส้นเลือดในสมองแตกที่ประเทศชิลี
การสูญเสียครั้งนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่เปิดช่องว่างให้ตระกูล
"เจียระพฤฒ" เข้ามาถือหุ้นได้มากขึ้นจากการเพิ่มทุนในปี 2513 และปี
2514 ลี สันติพงศ์ไชยและภรรยาได้ขอลาออก "ท่านคงจำได้ว่าข้าพเจ้าได้เคยพูดกับท่าน
(มร.เดรค กรรมการบริหารขณะนั้น) เกินกว่าหนึ่งครั้งถึงความต้องการและความตั้งใจของข้าพเจ้าที่จะลาออกจากบริษัทโอ้วปา
บราเดอร์ส (ไทย) จำกัดในโอกาสที่เร็วที่สุดนอกจากเหตุผลหลาย ๆ อย่างแล้วบัดนี้ไม่อาจเป็นไปได้ที่จะให้ข้าพเจ้าดำเนินการเกี่ยวข้องกับกิจการที่ค่อนข้างไม่อยู่ในวิสัยของธุรกิจที่จะดำเนินการโดยบริษัทตั้งแต่วันที่
1 มกราคม 2515 เป็นต้นไป" ลีได้เขียนจดหมายทิ้งไว้
ในที่สุดในปี 2516 บริษัทโอ้วปา ฯ ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "บริษัทแจ๊กเจียอุตสาหกรรม"
และผลิตยาหม่องตราเสือภายใต้ LICENCE จากบริษัท โอ้วปา บราเดอร์ส อินดัสทรี
ต่อจากนั้นได้มีการขยายกิจการไปสู่อุตสาหกรรมหลากหลายอย่างเช่นบริษัทแจ๊กเจียผู้ผลิตและค้าเครื่องอุปโภคบริโภคเช่น
น้ำมันกวางลุ้งตราสิงห์โตคู่ แป้งและน้ำหอมตาบู และได้ทำกิจการสิ่งทอคือ
"ดีซายน์-ไทย" รวมทั้งขยายกิจการไปสู่บริษัทใหม่ร้อยเอ็ด, บริษัทกรุงเทพอุตสาหกรรม
1961 ล่าสุดในปีนี้แจ๊กเจียได้ลงทุนสร้างโรงทอผ้าของตัวเองขึ้นมาจนครบวงจร
สายสัมพันธ์ของคหบดีชาวจีนโพ้นทะเลอย่างตระกูล "เจียระพฤฒ" หรือ
"แซ่เจีย" ในสองชั่วอายุ คนได้ทำให้เกิดเส้นทางการค้าระหว่างไทย-สิงคโปรื-ฮ่องกง
เป็นรูปสามเหลี่ยมที่มั่นคง
"ดีซายน์-ไทย" ได้อธิบายรูปลักษณะการบริหารธุรกิจอุตสาหกรรมนี้ได้ดี
นับตั้งแต่การซื้อกิจการในปี 2517 แล้วให้คลีเม้นท์ หรือชาตรี เจยระพฤฒ บริหารจนกระทั่งบัดนี้ดีซายน์-ไทยได้มีสาขาต่างประเทศที่สิงคโปร์
TANGLING SHOPPING CENTRE, และที่ฮ่องกงสองแห่งคือที่โรงแรม PENINSULA HOTEL,
HYATT REGENCY HOTEL ที่เกาลูน สำนักงานใหญ่ของแจ๊กเจียอยู่ที่สิงคโปร์และฮ่องกง
พี่ชายของชาตรีคือแดแนล เจียได้มีกิจการแดแนลซันอินเวสท์เม้นท์ที่โอ้ชเฮ้าส์ฮ่องกงเป็นหลักด้วย
พี่น้องของชาตรีมีทั้งหมดมี 4 คนคือดแแนล เจีย , แซมมวล เจีย . คลีเม้นท์
เจีย (ชาตรี) , และแอนนา เจีย (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นไทยว่า "นันทนา")
คุณแม่ของชาตรีชื่อ "จันทร์เพ็ญ" ซึ่งแปลงสัญชาติและชื่อจีนมาจาก
"จางยู" ครอบครัวนี้ก่อนจะมาใช้นามสกุล "เจียระพฤฒ"
ในปี 2503 เคยเปลี่ยนนามสกุลเป็นไทยครั้งแรกว่า "เจตน์สัมฤทธิ์ผล"
ณ วันนี้ผู้ก่อตั้งคือแจ๊กเจียหรือเจตน์ เจียระพฤฒ อายุเกือบ 70 ปีได้วางมือปล่อยให้ลูกชายทั้งสามซึ่งมีอายุไล่เลี่ยกันตั้งแต่แดแนล
46 ปี แซมมวล 45 ปีและ ชาตรี 44 ปีบริหารกิจการแจ๊กเจียกรุ๊ปซึ่งมีสินทรัพย์มหาศาล
ในปีนี้บริษัทแจ๊กเจียอุตสาหกรรม (ไทย) ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 31.5 ล้านบาทได้ยื่นเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น
ภาพพจน์นี้สะท้อนถึงการระดมทุนแบบใหม่เพราะเดิมแจ๊กเจียจะมีแหล่งเงินกู้ระยะสั้นจากตั๋วสัญญาเงินกู้สถาบันการเงินในปี
31 จำนวน 11.5 ล้านบาทโดยเสียดอกเบี้ย 12.5-15 % ต่อปี ส่วนเงินกู้ระยะยาวก็ได้จากแบงก์พาณิชย์ไทยวงเงิน
15 ล้านบาทโดยเสียดอกเบี้ยสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 4 % และระยะคืนเงินกู้
60 เดือน จ่ายทุกงวด 3 เดือน งวดละ 750,000 บาทกว่าจะหมดในปี 2535
อย่างไรก็ตามบริษัท ดีซายน์-ไทยได้หยุดดำเนินงานตั้งแต่ปี 2520 ด้วยเหตุผลของการรวมศูนย์กำไรที่แจ๊กเจียอุตสาหกรรม
(ไทย) แต่ชาตรีและฝ่ายบริหารก็ยังไม่ยุบเลิกชื่อบริษัทนี้ ปัจจุบันดีซายน์-ไทยที่สีลมทำรายได้จากการค้าผ้าไหมและผ้าฝ้ายนี้ปีหนึ่งไม่ต่ำกว่า
60 ล้านบาท และมีลูกค้าญี่ปุ่น ฝรั่ง เป็นหลัก โดยมีการโฆษณาที่ญี่ปุ่นและมีการส่งออกผ้าไหมให้ตัวแทนจำหน่ายที่ญี่ปุ่นด้วย
แต่ปีนี้นักท่องเที่ยวมาน้อยลงเพราะอัตราค่าห้องพักโรงแรมแพงขึ้น 20-30
% ค่าอาหารก็แพงขึ้น 20 % ด้วยก็อาจทำให้ยอดขายของ ดีซายน์-ไทยกระทบกระเทือน
เพราะการค้านี้ต้องพึ่งพิงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างมาก ส่วนใหญ่จะมีกรุ๊ปทัวร์มาลงค่าและจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้ผู้มาเดือนละหมื่น
ๆ บาท
การบริหารงานของดีซายน์-ไทย ปัจจุบันอยู่ภายใต้การดูแลของวีระ อรุณวัฒนาพร
ลูกหม้อเก่าแก่และกรรมการบริหารของแจ๊กเจียกรุ๊ปวีระมีบิดาชื่อ"ลิ่มจันโต"
และมารดาชื่อ "กิมอิน แซ่ซี" วีระเติบโตมากับแจ๊กเจียกรุ๊ปและเมื่อต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อย
ๆ งานในบริษัทในเครือบางแห่งก็ให้วีระเป็นผู้บริหารแทน
และที่ดีซายน์-ไทยซึ่งมีพนักงานเกือบร้อยคนและมีโรงงานเย็บเสือผ้าสำเร็จรูปที่ซอยเย็นอากาศทุ่งมหาเมฆ
วีระได้หมอบหมายให้ลูกหม้อเก่าอย่างศิริวรรณหรือที่เรียกว่า "พี่หยก"
เป็นผู้จัดการดูแลร้านดีซายน์-ไทยที่สีลม ซึ่งตั้งมาได้ 6-7 ปีโดยก่อนหน้านี้ได้ย้ายมาจากเพลินจิตต์อาเขตและมีสาขาที่ถนนสุริวงศ์แต่ก็ยุบทั้งสองแห่งนี้มาสร้างสำนักงานที่สีลมเอง
ดีซายน์-ไทยยังเป็นขุมทรัพย์แห่งหนึ่งที่แจ๊กเจียกรุ๊ปทำกำไรได้มากและเป็นภาพพจน์ความเป็นเลิศด้านคุณภาพไหมไทยที่แพงระยับในสายตาคนไทย
และที่น่าจับตามองต่อไปคือการก้าวไปสู่อุตสาหกรรมสิ่งทอเต็มตัวเมื่อแจ๊กเจียได้เข้าตลาดหลักทรัพย์
ฯ เพราะอนาคตผลิตภัณฆ์ผ้าไหมไทยจะกลายเป็นสินค้าส่งออกที่มีมูลค่ามหาศาลนั่นเอง