ผลการขายหุ้นเพิ่มทุน "ทีพีไอโพลีน" ให้กับปูนซีเมนต์นครหลวงล่ม หลังจากกลุ่มผู้บริหารแผนฟื้นฟูฯ
ยื่นขออำนาจศาลเลื่อนออกไปอีก 2 สัปดาห์ เพราะต้องรอผลการเจรจาหาแหล่งเงินทุนใหม่
ขณะที่ศาลนัดพิจารณาใหม่ 22 กรกฎาคมนี้
วานนี้ (2 ก.ค.) ศาลล้มละลายกลาง นัดไกล่เกลี่ยกรณีการเพิ่มทุนของบริษัท ทีพีไอ
โพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL ระหว่างผู้บริหารทีพีไอโพลีน คณะกรรมการเจ้าหนี้
และบริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC) หรือกลุ่มโฮลซิม ซึ่งเป็นผู้สนใจจะเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน
โดยกรอบการประชุมครั้งนี้ จะมีกำหนดสัดส่วนและเงื่อนไขและวิธีการซื้อหุ้นเพิ่มทุน
แต่ปรากฏว่าการประชุมไม่สามารถสรุปได้ เนื่อง จากทีพีไอโพลีนให้เหตุผลว่าอยู่ระหว่างเจรจากับแหล่งเงินทุนใหม่
จึงขอเวลา 1-2 สัปดาห์ คาดว่าจะหาข้อสรุปกับแหล่งเงินทุนใหม่ได้ ดังนี้ศาลจึงนัดพิจารณาในวันที่
22 กรกฎาคมนี้
สำหรับประเด็นที่ทีพีไอโพลีน ยกมากล่าวอ้าง คือ การเจรจากับแหล่งเงินทุนรายใหม่
จะต้องมีรายละเอียดต่างๆ ที่ชัดเจน เพราะแผนการ เพิ่มทุนจะนำไปสู่การพิจาณาถอดถอนผู้บริหารแผนตามที่เจ้าหนี้ได้ยื่นต่อศาลขอถอดบริษัท
ทีพีไอโพลีนแพลนเนอร์ ซึ่งมีนางอรพิน เลี่ยวไพรัตน์ เป็นผู้บริหาร ออกจากเป็นผู้บริหารแผน
ทีพีไอโพลีน เนื่องจากไม่สามารถเพิ่มทุนตามปรับโครงสร้างหนี้ในวงเงินขั้นต่ำ 180
ล้านเหรียญ ได้สำเร็จ
นายวีระพันธุ์ ทีปสุวรรณ รองประธานกรรมการ บริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC) เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า
บริษัทยังสนใจที่จะซื้อหุ้นเพิ่มทุนของทีพีไอโพลีน โดยขณะนี้มีเงินทุนพร้อมซื้อหุ้นเพิ่มทุนจำนวน
375 ล้านเหรียญสหรัฐอยู่แล้ว แต่เมื่อทีพีไอโพลีนมีทางเลือกในการหาแหล่งเงินทุนใหม่ก็คงต้องรอผลการเจรจาก่อน
หากไม่สำเร็จก็คงจะมีการหารือร่วมกันใหม่
"ปูนซีเมนต์นครหลวง ยังคงต้องการถือหุ้น ทีพีไอโพลีนในสัดส่วน 76% แต่ถ้าหากไม่ได้ตาม
สัดส่วนที่กำหนดราคาในการซื้อ ก็จะมีการเปลี่ยน แปลงตามสัดส่วนของการถือหุ้นเช่นกัน
และถ้าหากการเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ไม่ประสบความ สำเร็จก็ไม่กระทบต่อแผนการทำธุรกิจแต่อย่างใด
เพราะส่วนแบ่งทางการตลาดยังคงอยู่ในอันดับ 2 รองจากปูนซิเมนต์ไทยเช่นเดิม"
นายวีรพันธุ์ กล่าวยอมรับว่า โอกาสในการเข้าไปร่วมทุนกับทีพีไอโพลีนของเราป็นศูนย์
ไปแล้ว แต่เราก็ยังรอได้ ถ้าหากทางทีพีไอโพลีนยังไม่สามารถหาผู้ร่วมทุนได้ตามระยะเวลาที่ขอกับศาลไว้เพราะเป็นการทำเพื่อชาติ
นางอรพิน เลี่ยวไพรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีพีไอโพลีน ไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแต่อย่างใด
เพียงแต่ให้เหตุผลสั้นๆ ว่า ที่ต้องเลื่อนการประชุมออกไป เพราะมีผู้เข้าร่วมประชุมไม่ครบองค์ประชุม
แหล่งข่าวจากธนาคารเจ้าหนี้ กล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ทีพีไอโพลีนอาจจะรอดูผลการแก้ไขปัญหาของบริษัท
อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือทีพีไอ ว่าจะออกมารูปแบบใด เพราะถึงขณะนี้ชัดเจนว่ารัฐบาล
จะเข้ามาช่วยเหลือ โดยทางออกอาจจะขายหุ้นให้ กองทุนวายุภักษ์มาซื้อ ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์
ของรัฐบาลที่ต้องการช่วยเหลือธุรกิจที่เป็นความมั่นคงของประเทศ
โบรกเกอร์กล่าวว่า สาเหตุที่การเจรจาขายหุ้นเพิ่มทุนทีพีไอโพลีนให้แก่ปูนซิเมนต์นครหลวง
ไม่สำเร็จ อาจเป็นเพราะว่าคงรอให้กองทุน วายุภักษ์เข้ามาซื้อเอง หลังจากมีความชัดเจนแล้ว
อีกทั้งปูนซีเมนต์นครหลวงก็มีผู้ถือหุ้นคือกลุ่มโฮลซิมจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์
หากให้เข้ามาถือหุ้นใหญ่ในทีพีไอโพลีน จะทำให้กลุ่มโฮลซิม ผูกขาดการทำธุรกิจปูนซิเมนต์ไทย
เพราะจะก้าว ขึ้นมาเป็นรายใหญ่ในธุรกิจ และจะส่งผลต่อราคา ปูนหากมีการปรับขึ้นก็กระทบทั้งระบบ
"สวัสดิ์" ยันรัฐบาลเดินถูกทางแล้ว
ขณะเดียวกันนายสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ประธานกลุ่ม บริษัท เอ็น.ที.เอส. สตีลกรุ๊ป
จำกัด (มหาชน) หรือ NTS ได้กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง "ลบความทรงจำวิกฤติฟองสบู่ สู่ชีวิตใหม่ที่ดีกว่า"
ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ว่า ตั้งแต่ประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจในช่วง
6 ปีที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทเอ็นทีเอสยังไม่ผ่านพ้นวิกฤติทั้งหมด โดยมี NTS ที่สามารถผ่านไปได้แล้ว
ขณะที่บริษัท นครไทยสตริปมิล จำกัด (มหาชน) หรือ NSM ยังคงยืดเยื้ออยู่ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา
อีกประมาณ 1-2 เดือนถึงจะเรียบร้อย
"วิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านมา ผ่านพ้นไปหรือยังเป็นเรื่องที่พูดยาก เพราะเป็นกระแสโลกาภิวัตน์ที่เข้ามามีผลกระทบเศรษฐกิจของประเทศ
ทำให้คาดเดาได้ลำบาก โดยขณะนี้ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นก็ทำให้การส่งออกทำได้ยากขึ้น
ขณะที่ การนำเข้าอาจจะได้รับผลดี เป็นต้น"
สำหรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ที่มีการปรับลดลงนั้น ก็จะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
เพราะจะเป็นปัจจัยที่ฉุดให้กำลังซื้อในส่วนนี้ลดลง ในขณะที่ธุรกิจบัตรเครดิตเองอาจจะได้รับผลดี
และมีปริมาณการใช้จ่ายมากขึ้น
นายสวัสดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ดอกเบี้ย เงินกู้และเงินฝากยังถือว่ามีส่วนต่างกันอยู่อีกมาก
ถ้าหากในช่วงปี 2540 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงอยู่ในระดับปัจจุบันคือประมาณ 5-6%
ประเทศไทยก็คงไม่ต้องประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจเหมือนกับที่ผานมา
ส่วนประเด็นมาตรการของทางการที่เข้ามามีส่วนสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจนั้น นายสวัสดิ์
กล่าวว่า รัฐบาลดำเนินการมาถูกทางแล้ว เพราะปัจจุบันมาตรการของรัฐบาลเป็นเพียงกลไก
เดียวที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และส่งผลให้เอกชนเดินตามไปด้วย แต่ทั้งนี้ก็ต้องรอดูผลจากมาตรการต่างๆ
ของรัฐบาลว่าจะออกมาในรูปใด อาทิ โครงการบ้านเอื้ออาทร เป็นต้น