" สมคิด" ชี้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเอเชียเปลี่ยนภาพ หลังวิกฤตซาร์สสงบ
ทุกประเทศ ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยด้านสุขอนามัยมากกว่าความพึงพอใจอย่างเดียว
หลังทุกประเทศเอเชียปลอดซาร์สเตรียมขอให้ดับบลิวเอชโอ ประกาศให้ทั่วโลกรู้ว่าเอเชียปลอดซาร์ส
พร้อมกับเร่งยกเครื่อง ททท. ปรับยุทธศาสตร์ใหม่ เน้นท่องเที่ยวคุณภาพมากกว่าปริมาณ
เร่งพัฒนาสินค้าท่องเที่ยว เจาะลูกค้าเฉพาะกลุ่ม พร้อมเชื่อมโยงเครือข่ายแหล่งท่องเที่ยวระหว่างประเทศ
ดันไทยสู่ศูนย์กลาง การท่องเที่ยวเอเชีย ด้าน ททท. ประกาศเป้าหมายปี 47 ดันรายได้ตลาดต่างประเทศโต
18%
วานนี้ (2 ก.ค.) คณะกรรมาธิการ 5 คณะ ประกอบด้วย คณะกรรมาธิการการคลัง การธนาคาร
และสถาบันการเงิน คณะกรรมาธิการ การสาธารณสุข คณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว คณะกรรมาธิการการแรงงาน
และคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดสัมมนาไทยปลอดซาร์ส
ยุทธศาสตร์สู่โลก ซึ่งจัดโดยวุฒิสภา
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานปาฐกถาพิเศษ โดยกล่าวว่า เหตุการณ์โรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง
(ซาร์ส) เป็นภัยร้ายแรงที่ส่งผลกระทบกับทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
จากเดิมที่คาดว่าภัยจากสถานการณ์สงครามสหรัฐฯ-อิรัก จะกระทบกับการท่องเที่ยวอย่างรุนแรง
แต่พอเกิดโรคซาร์สขึ้นในภูมิภาคเอเชีย จึงเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างรุนแรงมากกว่า
ผลกระทบจากโรคซาร์สต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยหลังจากซาร์สสงบแล้วในขณะนี้ประเมินว่า
รายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวลดลง 60% ส่วนนักท่องเที่ยวคาดว่าลดลง 50% จากทุกภูมิภาคทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสถานการณ์โรคซาร์สจะสงบลงแล้ว แต่คาดว่าความกังวลและความหวาดกลัวเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียยังคงได้รับผลกระทบอยู่อีกไม่น้อยกว่า
1-2 เดือน แต่หลังจากทุกประเทศในภูมิภาคเอเชียถูกปลดจากการเป็นประเทศแพร่ระบาดของโรคซาร์สแล้ว
ต้องการขอความร่วมมือจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้ประกาศว่าทั้งภูมิภาคเอเชียปลอดภัยจากโรคซาร์ส
เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลก เพื่อให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลับคืนสู่ภาวะปกติอีกครั้ง
นายสมคิด กล่าวต่อว่า สถานการณ์โรคซาร์สที่เกิดขึ้น ถือเป็นบทเรียนให้กับทุกประเทศในเอเชีย
ตระหนักว่าแนวโน้มการท่องเที่ยวทั่วโลก จะคำนึงถึงการท่องเที่ยวที่ปลอดภัย มากกว่าความพึงพอใจเท่านั้น
ดังนั้น สิ่งที่ไทยต้องให้ความสำคัญสูงสุด คือ ความปลอดภัยในชีวิตของท่องเที่ยว
ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอันดับหนึ่งของการตัดสินใจของนักท่องเที่ยว มากกว่าการเกรงกลัวต่อภัยก่อร้าย
และอื่นๆ
หลายประเทศในเอเชียได้ใช้วิกฤตโรคซาร์สเป็นโอกาสในการปรับโฉมประเทศใหม่ เช่น
จีน ที่ได้ลุกขึ้นมาปฏิวัติระบบสาธารณสุขทั้งประเทศใหม่ เพื่อยกระดับมาตรฐานสุขภาพอนามัยของคนจีนทั้งประเทศให้ดีขึ้น
ปรับยุทธ์ศาสตร์ท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ
สำหรับภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย จำเป็นต้องปรับตัว เพราะการท่องเที่ยวขณะนี้ก้าวสู่ยุค
Globalization ที่ทุกประเทศทั่วโลกติดต่อสื่อสารกันอย่างใกล้ชิด ดังนั้นทิศทางการท่องเที่ยวของไทยจะต้องปรับยุทธศาสตร์ใหม่
โดยเปลี่ยนจากการท่องเที่ยวเชิงปริมาณ สู่เชิงคุณภาพ ต้องให้ความสำคัญด้านสุขอนามัยเป็นอันดับแรก
ดังนั้นการทำตลาดท่องเที่ยวแบบเก่าที่เน้นให้นักท่องเที่ยวมาชอปปิ้ง เป็นกลยุทธ์ที่ไม่สามารถจูงใจนักท่องเที่ยว
ได้อีกต่อไป
การปรับยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวของประเทศไทย จะต้องเริ่มที่การยกเครื่องททท.
ที่จะต้องปรับกระบวนการ และกิจกรรมการท่องเที่ยวใหม่ โดยเริ่มจากปรับปรุงสินค้าทางการท่องเที่ยว
และพัฒนาสินค้าท่องเที่ยวให้เจาะนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม เพื่อนำไปสู่การท่องเที่ยวที่ยั่งยืนในอนาคต
ปัจจุบันไทยถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวสูงสุดในเอเชีย โดยสามารถก้าวขึ้นมาสู่ความเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของเอเชียได้
แต่จะต้องอาศัยความร่วมมือจากประเทศอื่นๆในภูมิภาคนี้ด้วย เพราะการท่องเที่ยวในอนาคตจะเป็น
การท่องเที่ยวแบปฏิสัมพันธ์ของ 2 ประเทศขึ้นไป
นายสมคิด กล่าวต่อว่า การเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวในอนาคต จะเริ่มที่ระดับประเทศต่อประเทศ
หลังจากนั้นจะเชื่อมโยงจุดท่องเที่ยวต่อจุดท่องเที่ยว โดยในระยะแรกรัฐบาลจะเป็นผู้นำในการดำเนินนโยบายเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวระหว่างประเทศ
แต่หลังจากนั้นหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบ ร่วมทั้งภาคเอกชน สามารถดำเนินการร่วมกันเองได้
เช่น การเพิ่มเส้นทางบินระหว่างจุดท่องเที่ยวต่อจุดท่องเที่ยว ของสายการบินต่างๆ
รูปแบบการปรับยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวของไทยจะเริ่มที่ภาครัฐ ด้วยการปรับรูปแบบการจัดสรรงบประมาณที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวใหม่
ที่ต่อไปงบประมาณด้านการท่องเที่ยวจะไม่ได้อยู่ที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเพียงแห่งเดียว
แต่จะกระจายงบสู่หน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อ นำไปพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้เกิดการรณรงค์อย่างยั่งยืน
ททท.รับลูกดันรายได้ปี47เพิ่ม 18%
นางจุฑามาศ ศิริวรรณ ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า
ปัจจุบันถือว่าสถานการณ์โรคซาร์สได้สงบลงแล้ว โดยดูได้จากสถิติการเดินทางของนักท่องเที่ยวในเดือน
มิ.ย. ถือว่าเกือบกลับสู่ภาวะปกติแล้ว ซึ่งการบินไทยก็ได้เพิ่มเที่ยวบินทุกเส้นทางสู่ภาวะปกติตั้งแต่
1 ก.ค. ที่ผ่านมา
สำหรับแผนการตลาด ททท. ในปี 2547 ที่กำลังอยู่ระหว่างการประชุมกับสำนักงาน ททท.
ทั่วโลกขณะนี้ คือการปรับยุทธศาตร์การท่องเที่ยวใหม่ ที่จะเน้นการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ
ซึ่ง ททท. ได้ตั้งเป้าหมายรายได้นักท่องเที่ยวต่างชาติปีหน้าเพิ่มขึ้น 18% จากรายได้
302,600 ล้านบาทในปีนี้ ถือเป็นอัตราการขยายตัวที่สูงมากเมื่อเทียบกับทุกๆปี โดยจะผลักดันให้นักท่องเที่ยวอยู่ในประเทศไทยนานขึ้น
ด้วยการสร้างกิจกรรม หรือสินค้าการท่องเที่ยวให้เหมาะสมกับนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่มและกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายในแต่ละวันสูงขึ้น
ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปีหน้าได้ตั้งเป้าหมายไว้ 11.01 ล้านคน จากตัวเลข
9.86 ล้านคนในปีนี้ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ปรับลดลงจากสถานการณ์โรคซาร์ส
จัดประชุมแก้ปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ
นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ประธานกรรมาธิการต่างประเทศวุฒิสภา กล่าวว่า จากการระดมความคิดเห็นของภาคเอกชน
ด้านการท่องเที่ยว ที่ประกอบด้วย สมาคมโรงแรมไทย สมาคมค้าปลีก สมาคมผู้ค้าอัญมณี
เป็นต้น เกี่ยวกับปัญหาและผลกระทบที่เกิดจากโรคซาร์ส ซึ่งคณะกรรมาธิการทั้ง 5 คณะ
มีความเห็นว่าภาครัฐควรจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพบริการการท่องเที่ยวในระยะยาว ส่วนในต่างประเทศควรประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับมาตรการต่างๆ
ของรัฐ และควรมีศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน เพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์จากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยว
นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ ประธานกรรมาธิการการท่องเที่ยววุฒิสภา กล่าวว่า ขณะนี้ยังมีภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวระดับภูมิภาคจำนวนมาก
ที่ไม่ได้อยู่ในสมาคมท่องเที่ยวขนาดใหญ่ ที่ได้รับผลกระทบจากโรคซาร์ส โดยความช่วยเหลือจากรัฐบาลด้านการละเว้นภาษี
การให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำยังเข้าไปไม่ถึง ซึ่งเชื่อว่าอาจจะมีผู้ประกอบการรายเล็กในท้องถิ่นต้องปิดกิจการลงจำนวนมาก
รวมทั้งได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบการอัญมณีที่ไม่ได้หลอกลวงต้มตุ๋นนักท่องเที่ยว
แต่ได้รับผลกระทบจากทัวร์คุณภาพต่ำและทัวร์ศูนย์เหรียญ ซึ่งคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยววุฒิสภา
จะจัดประชุมเกี่ยวกับผลกระทบจากทัวร์ศูนย์เหรียญในวันพฤหัสฯหน้า เพื่อหาขอสรุปจากที่ประชุมดังกล่าว
และข้อสรุปจากการประชุมผลกระทบโรคซาร์สวานนี้ เสนอต่อคณะรัฐบาลเพื่อหามาตรการช่วยเหลือ
และแก้ไขในเร็วๆ นี้