Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กุมภาพันธ์ 2533








 
นิตยสารผู้จัดการ กุมภาพันธ์ 2533
"ที่ดินแปลงนี้…ได้แต่ใดมา"             
โดย วิลาวัณย์ วิวัฒนากันตัง
 

   
related stories

"สุ่นหั่วเซ้ง" เทวดาตกสวรรค์

   
search resources

สวนกิตติ
กิตติ ดำเนินชาญวนิชย์
Pulp and Paper




วันจันทร์ที่ 22 มกราคมที่ผ่านมานี้ คงจะเป็นวันที่กิตติ ดำเนินชาญวนิชย์ ถ้าแก่พืชไร่ผู้ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุคนี้ และกำลังแผ้วถางทางไปสู่ยักษ์อินเตอร์บนฐายใหม่ในโครงการเยื่อกระดาษครบวงจร จะต้องจดจำไปอีกนานแสนนาน

เนื่องจากสวนป่ายูคาลิปตัส โครงการในฝันได้กลายเป็นที่ดินแปลงฉาวโฉ่ลือลั่นไปแล้ว เมื่อหน่วยงานปลูกป่าของบริษัท สวนกิตติ จำกัด ในเขต ต.ท่ากระดาน อ.สนามสันติประภพ เข้าจับกุมในข้อหาบุกรุกป่าสงวน และพนักงาน 156 คนถูกนำตัวไปกักขัง

ประทินให้สัมภาษณ์อย่างแข็งกร้าวว่ามีหลักฐานพร้อมมูลที่เชื่อถือได้ว่า พื้นที่กว่า 40,000 ไร่นั้นมีที่ผ่านการอนุมัติจากกรมป่าไม้ให้เข้าใช้ประโยชน์ได้เพียง 1,800 ไร่เท่านั้นและยืนยันจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างไม่ไว้หน้า

"วุฒิสมาชิกบุกรุกป่าสงวน" ข่าวพาดหัวตัวไม้หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ ทำให้กิตติต้องออกโรงแถลงข่าวในวันถัดมา เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง พร้อมกันนิกร วัฒนพนมกุนซือคนสำคัญ ว่าพื้นที่ดังกล่าวได้รับอนุมัติจากพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีว่ากการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แล้วเพียงแต่ยังไม่ครบทุกขั้นตอนเท่านั้น

กิตติยืนยันถึงขั้นที่ว่าพร้อมจะไปสาบานที่ไหนก็ได้ว่าคนไม่ได้โค่นป่า เพราะพื้นที่แถบนั้นเป็นที่ปลูกมันสำปะหลังของชาวบ้านมาก่อนจนไม่เหลือความอุดมสมบูรณ์แล้ว ตนจึงเข้าไปซื้อสิทธิทำประโยชน์ด้วยการปลูกยูคาลิปตัส

ขณะที่บางคนถึงกับวิจารณ์ไปว่า ไม่รู้ว่าที่ดินแปลงใหญ่ขนาดเกือบ 200,000 ไร่ที่มีอยู่นั้น จะเป็นพื้นที่จากการบุกป่าสักเท่าไหร่

คำกล่าวอ้างของกิตตินั้นพอฟังขึ้นในแง่เศรษฐกิจและความจริง เนื่องจากกิตตินั้นไม่มีธุรกิจอะไรที่เกี่ยวข้องกับการทำไม้เลยแม้แต่น้อยไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบัน

ดูเหมือนว่ากิตติจะภูมิใจกับโครงการนี้เป็นพิเศษ จึงเชิญใครต่อใครไปเยี่ยมโครงการของเขาที่อ.พนมสารคามในวันหยุดบ่อยครั้ง ใครต่อใครนี้รวมถึงอธิบดีกรมป่าไม้หลายรุ่น รัฐมนตรีเกษตรฯหลายคน นักการเมืองหลายกลุ่ม รวมทั้งสื่อมวลชนมากแขนง และมั่นใจถึงฝันอันสวยหรูที่จะเกิดจากความสำเร็จจากโครงการ

ว่ากันว่าในระยะหลังกิจการค้าข้าว ข้าวโพดและมันสำปะหลังทีกลุ่มสุ่นหั่นเซ้งครองความยิ่งใหญ่อยู่นั้นได้รับความสนใจจากกิตติน้อยครั้งมากเมื่อเทียบกับโครงการปลูกป่า

โครงการสวนป่าได้รับการสนับสนุนจากกรมป่าไม้มาแต่ต้น ได้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำมาจากซีดีซี ได้รับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอและการเงินจากแบงก์ทหารไทย กรุงเทพ และกสิกรไทย อีกทั้งอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมทุนกับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) พร้อมทั้งจะขอเช่าพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมจากกรมป่าไม้ ซึ่งมีโครงการที่จะให้เช่าทำประโยชน์เป็นป่ายูคาอีกหลายแสนไร่ ขณะที่บริษัท สวนกิตติยังขาดพื้นที่อีก 200,000 ไร่ และการที่จะซื้อจากชาวบ้านก็ลำบากกว่าเก่า เนื่องจากเจอปัญหาที่ดินแพงอีกขั้นหลายสิบเท่าตัว

ทว่า วันนี้ กิตติได้ตกลึกอยู่ในข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ตัดไม้ทำลายป่าไปแล้ว

ส่วนจะสรุปข้อเท็จจริง "จริงแท้" ออกมาอย่างนั้นเป็นหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องที่จะต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดให้ถึงที่สุดต่อไป

แต่เราจะมาดูถึงวิธีการและขั้นตอนในการจัดหาที่ดินของบริษัท สวนกิตติว่า พื้นที่แต่ละไร่เขาได้กันอย่างไร

สุรางค์ ภรรยาของกิตติเริ่มซื้อที่ดินเมื่อปี 2526 จนมาถึงปี 2528 ก็รวบรวมได้ทั้งหมด 7,000 ไร่ แล้วสุรางค์ก็ป่วยเป็นอัมพาต กิตติจึงรับช่วงต่อ

เจ้าหน้าที่ที่ร่วมงานกับบริษัท สวนกิตติมาตั้งแต่ยุคบุกเบิก ได้เล่าถึงระบบการจัดซื้อที่ดินว่าจะเริ่มจากการบอกกล่าวให้รู้กันต่อ ๆ ว่า สวนกิตติต้องการที่ดินในการปลูกยูคา ซึ่งจะมีนายหน้าเป็นคนกลางในการติดต่อซื้อขายกับเจ้าหน้าที่ของบรษัทที่สำนักงานอยู่ตรงหลักกิโลเมตรที่ 50 บนถนนสายกบินทร์บุรีพอดี

ที่นี่ได้กลายเป็นศูนย์กลางในการซื้อขายที่ดินที่คึกคักที่สุดของฉะเชิงเทรา บรรดานายหน้ามีตั้งแต่ที่เป็นเจ้าของที่ดินเอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คนซึ่งชาวบ้านเชื่อถือที่สุดในชุมชนนั้น หรือกระทั่งข้าราชการระดับอำเภอของจังหวัด

นายหน้าเหล่านี้จะเป็นคนติดต่อเจ้าของที่ดินเพื่อรวบรวมมาขายพร้อมกันเป็นแปลงใหญ่ เนื่องจากบางคนมีที่ดินเพียง 20-30 ไร่ บางคนมีเป็นร้อยไร่ปริมาณที่นายหน้านำมาเสนอขายแต่ละครั้งส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง 500-1,000 ไร่

บริษัท สวนกิตติจะรับซื้อที่ดินทุกแปลงที่อยู่ในทำเลน้ำไม่ท่วม พร้อมทั้งดูหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดิน "ถ้ามีโฉนดหรือนส.3 ส่วนนี้ไม่มีปัญหาต่อมาก็ต้องดูว่าเจ้าของที่อยากขายหรือไม่ ถ้าไม่อยากขาย เราก็ไม่ซื้อ เพราะถ้าบังคับขายมีปัญหาแน่ ขณะที่เรายังต้องการแรงงานอีกมาก และอยากให้เขามาทำงานกับเราในระยะยาว ไม่เพียงแต่จะให้เป็นแค่คนงานแต่จะจัดโครงการอบรมพัฒนาแรงงานฝีมือขึ้นมาเป็นพนักงานของเราด้วย บางแปลงแม้เราคิดว่าจำเป็นและอยากซื้อ จะไปถามก่อนเหมือนกันว่า ขายได้หรือไม่ ถ้าไม่ เราก็ไม่เอา "แหล่งข่าวจากสวนกิตติกล่าว

เมื่อเจ้าของที่ตกลงขายให้ ก็จะนัดวันเวลาไปดูและวัดพื้นที่ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ของบริษัท สวนกิตติที่รับผิดชอบด้านนี้โดยเฉพาะและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ช่ายตรวจสอบทุกครั้งว่าที่ดินส่วนนั้น สามารถซื้อสิทธิไปทำประโยชน์ได้หรือไม่ ถ้า "อนุญาต" ให้ทำได้ เราจึงจะเอา ถ้าเป็นป่าสมบูรณ์

หมายความว่าพื้นที่นั้นต้องเป็นป่าเสื่อมโทรม ซึ่งก็คือป่าสงวนที่เสื่อมโทรมแล้ว มีชาวบ้านไปปลูกพืชปลูกมันสำปะหลังมาก่อน เราจะซื้อสิทธิ์จากชาวบ้าน จะดูจากใบเสียภาษีที่ดิน คือ "ใบบท.5" ที่แสดงให้รู้ว่าเป็นพื้นที่เสื่อมโทรมที่ชาวบ้านเขาไปทำประโยชน์ และเสียภาษีให้กับกรมที่ดิน ถ้าไม่มีใบบท.5 เราจะไม่ซื้ออีกเหมือนกัน

เมื่อตรวจสอบเรียบร้อยจะไปทำเครื่องหมายให้รู้ว่า นี่เป็นทางเข้าแนวพื้นทีที่บริษัท สวนกิตติซื้อ โดยปั๊มคำว่า "SK" ด้วยสีแดงที่ต้นไม้เป็นระยะ หรือเอาเสาเขตไปปัก

"ไม่ได้หมายความว่า จะยึดเป็นของเาแต่คนไม่เคยไปใหม่ ๆ จะจำทางไม่ได้ และกฎหมายก็ไม่ได้บังคับห้ามทำทีนี้บางทีแปลงข้าง ๆ ของแปลงที่เราซื้อ อาจจะเป็นป่าสงวนที่ยังเป็นป่าดี ทำให้เข้าใจผิดได้ว่าเราบุกรุกโค่นป่า" แหล่งข่าวจากบริษัทสวนกิตติเล่าถึงวิธาการโดยรายละเอียด

หลังจากวางแนวเขตไว้แล้ว "ก็จะปรับพื้นที่ ต้องใช้แทรกเตอร์ไก เพราะที่เป็นดินดาน ต้องใช้ลิปเปอร์ใหญ่คุ้ยดินให้แตก " กิตติเคยเล่าถึงปัญหาคนเดิมเล่าว่า จะมีตอไม้ เศษไม้ ต้นไม้ที่ถูกไฟไหม้ บางทีก็ต้องขุดหลุมฝัง "ทำให้ดูเหมือนว่ากำลังโค่นป่า"

การไถพื้นที่แต่ละครั้งจะรอจนซื้อรวมได้เป็นผืนใหญ่ เพราถ้าใช้เครื่องจักรลงพื้นที่อย่างน้อยต้องขนาด 500 ไร่จึงจะคุ้มทุน

เมื่อตกลงซื้อขายและตรวจสอบหลักฐานเรียบร้อยแล้วจะจายเงินให้เจ้าของที่ ซึ่ง "ผู้จัดการ" ได้รับคำตอบถึงสาเหตุที่ชาวบ้านนำที่ดินมาขายให้บริษัท สวนกิตติ ว่าต้องการปลอดเปลื้องภาระหนี้สินที่มีอยู่บ้าง แปลงใหญ่เกินใหญ่ ดูแลไม่ไหวบ้างและที่สำคัญ" ที่นี่จ่ายเงินเร็วดี 2-3 วันก็ได้ อย่างช้าจะไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ การจ่ายเงินจะให้เจ้าของที่ดินแต่ละรายมารับเช็คเอง จะไม่จ่ายผ่านนายหน้าเด็ดขาด ส่วนนายหน้าจะได้ค่าคอมมิชชั่น 5 เปอร์เซ็นต์

"เราไม่เคยบังคับซื้อจากชาวบ้านเลย มีหลายครั้งด้วยซ้ำไปที่นายหน้ามาติดต่อเสนอขาย แล้วชาวบ้านซึ่งเป็นเจ้าของที่มาร้องเรียนว่า ไม่ขาย เราก็ไม่ซื้อ "แหล่งข่าวพูดถึงวิธีการที่มั่นใจว่าจะไม่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน

ส่วน "นายหน้า" ที่มาขายที่ดินให้นั้น จะมีที่เป็นเจ้าของที่เองในแปลงใหญ่ ๆ ที่เป็นหมื่นไร่มีเพียงรายเดียว ซึ่งเขาจับจองมาที่ดินมานาน ส่วนนายหน้าที่ขายเป็นพันไร่เคยมีสูงสุด 4,000 ไร่ นอกจากนั้นก็เป็นขนาดหนึ่งพันหรือสองพันไร่เป็นอย่างมาก แต่มีไม่กี่ราย

แปลงสวนป่ายูคาของสวนกิตติจึงไม่เป็นลักษณะผืนดินใหญ่ติดต่อกัน จะมีเว้นช่วงเป็นหย่อม ๆ จากการที่ "ผู้จัดการ" ไปสัมผัสสวนป่ายูคาใน อ.พนมสารคามต่อแนวเขตจังหวัดปราจีนบุรี พบว่าจะมีที่ดินของชาวบ้านคั่นเป็นช่วง บางแปลงยังเป็นไร่มันสำปะหลัง บางแปลงว่างเปล่า บางแปลงปลูกต้นยูคา "เข้าใจว่าไว้ขายแก่โรงงานผลิตไม้ชิพที่ดำเนินการแล้วหนึ่งราย คือ บริษัทวี.พี. ยูคาลิปตัส ชิพวู้ด จำกัด" แหล่งข่าวจากบริษัท สวนกิตติตั้งข้อสังเกต

"เราจะปรับพื้นที่ที่ซื้อไว้หลังจากที่ได้รับอนุมัติ (ด้วยวาจา) จากเจ้าหน้าที่ป่าไม้ แล้วจึงจะเอาเครื่องจักรไปปรับพื้นที่ เรายอมรับว่าตามกฎหมาย เราอาจผิดบ้าง แต่เราไม่เคยคิดและไม่มีเจตนาโค่นป่า ถ้ารอใบอนุญาต กว่าจะมาถึงมือก็ต้องรอ 4-5 เดือน ซึ่งเข้าหน้าฝนก็ทำงานไม่ได้และทำให้โครงการช้าออกไปอีก" แหล่งข่าวกล่าวถึงปัญหาการได้" ในอนุญาต" ล่าช้า" จะเห็นว่าจนวันนี้เชลล์ก็ยังปลูก ป่ายูคาไม่ได้ เพราะต้องการที่ดินแปลงใหญ่เป็นแสนไร่

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวคนเดิมยอมรับว่า "คงเป็นไปได้เหมือนกันว่าอาจจะมีนายหน้าบางคนไปบังคับซื้อที่จากชาวบานมาขายต่อ ซึ่งเราอาจจะไม่รู้ ถ้าชาวบ้านรายนั้นไม่ร้องเรียนให้ทราบ และอาจจะสร้างความไม่พอใจหรือเกิดแรงต่อต้านอยู่เงียบ ๆ เพราะช่วงหลังมีการพูดกันว่าเราโค่นป่า แต่อย่างที่ช่วงหลังมีการพูดกันว่าเราโค่นป่า แต่อย่างที่พนมสารคาม พื้นที่ส่วนแรกที่เราบุกเบิก จะเห็นว่าไม่มีปัญหา เลย" แหล่งข่าวกล่าว เพราะกลุ่มธุรกิจปลูกยูคาตอนหลังมีหลายราย อาจจะมีปัญหาขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ เป็นคู่แข่ง ทางการค้า ขณะบริษัทของญี่ปุ่นไต้หวันติดต่อซื้อยูคากันมาก และกลุ่มการเมืองก็มีหลายกลุ่ม

จะเห็นว่าช่วงหลังมีบริษัทหลายรายเลือกปลูกป่ายูคาแถบฉะเชิงเทรา เช่น บริษัทเสริมสมบัติวนา บริษัทสวนป่านานาภัณฑ์ บริษัทสวนป่าสยามภัณฑ์ บริษัทสวนป่าหยวนเฮงลี่ บริษัทสยามวนา บริษัทสวนป่าไทย-สวีเดิน เป็นต้น

กรณีเกิดขึ้นที่สนามไชยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ถือเป็นเรื่องท้าทายครั้งสำคัญของโครงการนี้ เพราะความเชื่อเก่า ๆ ที่ว่า เมื่อมีเจตนาที่ดีน่าจะได้รับการยกเว้นโทษสำหรับความผิดที่เขาเห็นว่าเล็กน้อย ดังที่นิกร วัฒนพนมพูดว่าน่าจะดูที่เจตนามากกว่า

โดยไพโรจน์ สุวรรณกร อธิบดีกรมป่าไม่ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่ทำเนียบรัฐบาลแะลได้ยืนยันว่า บริษัทสวนกิตติเป็นบริษัทปลูกป่า ไม่ใช่ทำลายป่า ที่เขาเข้าไปทำนั้นสนใจเพียงปลูกป่าเศรษฐกิจ ที่ดินได้จากการซื้อที่ดินเสื่อมโทรมที่ชาวบ้านปลูกมัน ต้นไม้ก็เป็นต้นไม้ที่ถูกไฟไหม้

ไพโรจน์ยังพูดด้วยว่า เขาไมเคยรู้จักกิตติ แต่การปลูกป่าควรต้องดูที่เจตนา ถ้าผิดจริงก็ต้องรับโทษติดคุก 5 เดือนถึง 10 ปี ถ้าจะผิดก็ผิด 2 ประเด็น คือ บุกรุกป่าก่อนได้ "ใบอนุญาต" และถากถางเกินกว่าที่ได้รับ "ใบอนุญาต"

ขณะเดียวกัน เมื่อคืนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้พลตรีสนั่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯกับไพโรจน์อธิบดีกรมป่าไม้ได้ออกทีวีชี้แจงถึงเรื่องนี้ ว่านโยบายปลูกป่าเป็นนโยาบตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้วอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิตและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 6 เนื่องจากพื้นที่ป่าเหลืองเพียง 28 เปอร์เซ็นต์ หากกรมป่าไม้เป็นคนปลูกป่าเอง จะต้องใช้เวลาถึง 200 ปี จึงต้องให้เอกชนเข้ามาร่วมและบริษัท สวนกิตติเป็นรายหนึ่งในหลายรายที่ขอเช่าพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม และทุกอย่างทำตามขั้นตอนกฎหมาย

กิตติ "คง" คิดไปว่า เมื่อได้รับอนุญาตด้วยวาจาและตรวจสอบพื้นที่แล้วรอหนังสืออนุญาตเดินทางมาเท่านั้น ก็ไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไร เมื่อทางราชการอนุมัติเพราะหลงเชื่อมั่นว่า การมีอดีตข้าราชการระดับสูง เช่น พลตำรวจเอกณรงค์ มหานนท์เป็นรองประธานบริษัท และการทีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเออออเห็นด้วยนั้นจะเป็นเกราะกำบังที่ดี"

ขณะเดียวกัน ถ้ามองในมุมกลับ กรณีลัดขั้นตอนลักษณะนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วไปในสังคมธุรกิจเมืองไทย "เชื่อว่า ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากก็มักมีกรณีอย่างนี้จนองค์กรบางองค์กรที่คยทำอะไรตามขั้นตอนอย่างตรงไปตรงมาทุกระเบียดนิ้ว ต้องมาเริ่มทบทวนใหม่ว่า เห็นทีจะต้องมีธรรมเนียมปฏิบัติเหมือนคนอื่นบ้างคงจะทำให้ธุรกิจไปได้เร็วกว่า" นักเศรษฐศาสตร์ชั้นแนวหน้ารายหนึ่งวิเคราะห์ "นี่พูดถึงกรณีที่เขาไม่ได้โค่นป่า แต่เป็นผู้เข้าไปใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมจริง"

แต่สิ่งที่กิตติคาดไม่ถึงหรือดูเบามาตลอด ก็คือความรู้สึกรักธรรมชาติในระยะหลังที่ได้รับการพัฒนาให้เป็นกระแสการเมืองขึ้นมาแล้ว และมีคนพร้อมที่จะผลักดันให้กลายเป็นประเด้นการเมืองได้เสมอ และถ้าแม้จะไม่มีการปลุกเร่งกระแสความหวงแหนในธรรมชาติขณะที่แทบจะไม่มีป่าให้หวงแหนได้แล้วในขณะนี้ก็ตาม ใช่ว่าจะเป็นหลักประกันที่มั่นคงว่าจะไม่เกิดปัญหาด้วนมวลชน ดังทีแหล่งข่าวรายหนึ่งได้ตั้งข้อสังเกตถึงปัญหาต่อต้านแฝงเร้นที่อาจจะไม่ได้ระวังตามที่กล่าวข้างต้น

ยิ่งฐานะทางการเมืองของกิตติที่สร้างพันธมิตรกับกลุ่มการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นพิชัย รัตตกุล ณรงค์ วงศ์วรรณ สุบิน ปิ่นขยัน หรือแม้กระทั่งพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ (วุฒิสมาชิกและที่ปรึกษานายก) ย่อมมีโอกาสที่จะเป็นเป้าการเมืองได้ง่ายยิ่งขึ้น

จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตแอคติวิสท์ที่กลายมาเป็นนักการเมืองที่เชี่ยวเวทีแทนอนันต์ผู้พ่อหยิบฉวยโอกาสเก็บคะแนนตามระเบียบ โดยโยงร้อยเข้ากับกรณีการขับไล่ชาวบ้านเชื้อสายภูไทแห่งทุ่งกระทิงในเขตอำเภอเดียวกันอย่างได้จังหวะด้วยเหุตว่ากิตติบังเอิญไปยืนอยู่ข้าง "กำนันไกรสร" หัวคะแนนคนดังของอาทิตย์ อุไรรัตน์

ไม่เพียงแต่เท่านั้น บาดแผลเก่าที่เหวอะหวะของพลตรีสนั่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกาตรฯในเรื่องประมูลปุ๋ยอตก. 300,000 ตันเมื่อต้นปี 2532 ที่กลุ่มสุ่นหั่วเซ้งเฉือนคมกลุ่มศรีกรุงวัฒนาเจ้าพ่อวงการไปได้นั้น ทั้งฝ่ายค้ายและฝ่ายแค้นทั้งหลายยังจดจำได้ตรึงใจอีกทั้งข้าราชการทหารบางกลุ่มบางรายกำลังเสาะโอกาสเพื่อกรุยทางเข้าสู่เวทีการเมือง สถานะของกิตติจึงหมิ่นเหม่นัก โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังใกล้เปิดเข้าสภาพมาทุกขณะ

ด้านกลุ่มหัวเซ้งเองได้ปิดตัวมาตลอดตามลักษณะของเถ้าแก่พืชไร่ ภายในกลุ่มพากันตกตะลึก ถึงกับช็อกความรู้สึกทีเดียวที่เจตนาในการเร่งปลูกป่าของกลุ่มถูกเบี่ยงเบนจากความตั้งใจที่แท้จริงไปตามกระแสลมการเมือง

หลายคนในบริษัทต่างบ่นเสียดายชื่อเสียงของบริษัทที่อุตส่าห์ทุ่มเทในการลงทุน แต่ผลตอบแทนกลับตรงกันข้ามบางคนบ่นว่า "รู้อย่างนี้เก็บเงินไว้เฉย ๆ คงไม่ถูกด่าและเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลขนาดนี้" บางคนพลอยโทษหนังสือพิมพ์ว่าไม่เข้าข้างตน ทั้งที่ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน และมุ่งทำประโยชน์ต่อสังคม "น่าจะเห็นใจกันบ้าง"

แต่ในโลกปัจจุบันที่มีกลไกทางสังคมซับซ้อนมากขึ้นการที่คิดจะทำดีและประโยชน์โดยไม่แนบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสังคม บางทีกลับจะเป็นผลลบมากกว่าผลดี

ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สะท้อนปัญหาชัดเจนของกลุ่มนี้ว่า มีจุดอ่อนในการสร้างความเข้าใจและเปิดใจกว้างให้สังคมรอบข้างมากขึ้น

ในอดีตที่ผ่านมา ธุรกิจส่งออกพืชไร่เก็บตัวเงียบต่อข่าวลือต่าง ๆ ได้ เพราะมีกันชนคือกระทรวงพาณิชย์รับหน้าแทนอยู่แล้ว แต่โครงการอุตสาหกรรมเกษตรหนึ่งล้านที่เกี่ยวข้อกงับมวลชนโดยตรง การรวมศูนย์ที่ตัว "กิตติ" จึงใช้ไม่ได้ ทุกคนรอการตัดสินใจที่กิตติเพียงคนเดียวในฐานะที่ศักดิ์สิทธิ์ขององค์กร

ที่ผ่านมา กิตติมักจะใช้วิธีการสร้างความสัมพันธ์รายวันหลายฉบับ โดยหวังว่าการอธิบายให้คนกลุ่มนี้เข้าใจจะช่วยแก้ปัญหาถูกโจมตีได้

งบประมาณของกลุ่มเกษตรรุ่งเรืองในการสร้างภาพพจน์นั้นไม่มีเลย "ดูเหมือนจะไม่มีสำหรับการให้ฟรีโดยไม่มีผลตอบแทน" มักจะมีคนพูดเช่นนี้ถึงกับยกตัวอย่างว่าในการบริจาคช่วยน้ำท่วมภาคใต้ปลายปี 2531 กลุ่มนี้ซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวที่ใหญ่ที่สุดของประเทศบริจาคเงินแค่ 20,000 บาท" เหมือนกับให้อย่างเสียไม่ได้" ในขณะที่บริษัทเล็ก ๆ บางรายให้ถึงแสนบาท

แม้บริษัท สวนกิตติจะเอื้อเฟื้อต้นกล้ายูคาแก่โรงเรียนแก่วัดอย่างไม่จำกัดจำนวน และให้เงินช่วยเหลือชุมชนบางแห่งในอ.พนมสารคาม และเตรียมทีาประชาสัมพันธ์ขึ้นมารับงานด้านนี้โดยตรง กับการเริ่มโครงการสวนป่ามาแล้วตั้งแต่ปี 2529 นั้น ดูจะเป็นการปรับตัวที่ช้าเกินไปเสียแล้ว

การออกมาชี้แจงตอบโต้ทันควัน เพราะคิดว่าการพูดความจริงให้ฟังน่จะทำให้ปัญหาคลี่คลายลงแต่ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น กลับเลวร้ายหนักยิ่งกว่าเก่า เพราะการกระทำที่หมิ่นเหม่ต่อกฎหมาย แม้จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ฟังไม่ขึ้นโดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์การเมืองและธุรกิจที่ขมวดเกลียวอยู่เช่นนี้

จะเห็นว่ากรณีเดียวกับที่สนามไชยเขตตอนหลังไปโดยที่วังน้ำเย็น จ.ปราจีนบุรี และล่าสุดที่จ.ชลบุรีด้วย

เหตุการณ์ได้บานปลายออกไป และแน่นอนว่าย่อมกระทบต่ออนาคตของกลุ่มธุรกิจนี้อย่างหนักในอนาคต เช่นเดียวกับที่ 3 ปีก่อน "สว่าง เลาหทัย" แห่งกลุ่มศรีกรุงวัฒนาคู่แข่งทางการค้าของเขาเจอมาแล้ว แต่กิตติจะตกในสภาพที่ฉกรรจ์กว่าอย่างหาที่เทียบไม่ได้

บางคนพูดว่า "กิตติอาจจะเล่นกับอำนาจมากไป" เพราะกิตติรู้ว่าการผูกกับขั้วอำนาจเดียวเมื่อขั้วอำนาจนั้นตกต่ำ ก็ต้องพลอยแย่ไปด้วยการสร้างพันธมิตรทั่วไปจึงน่าที่จะยืดหยุ่นได้มากกว่แต่เมื่อถึงสถานการณ์คับขัน พันธมิตรที่เป็นศัตรูก็เท่าทวีด้วย เพราะโลกธุรกิจและการเมืองไม่เคยมีมิตรและศัตรูที่ถาวร

ตอนนี้ทุกคนก็ดูจะหวงแหนป่าเป็นพิเศษแน่ละ ป่าธรรมชาติย่อมต้องเป็นป่าที่มีคุณค่าต่อมวลมนุษยชาติที่สุด แต่ถ้าป่านั้น เสื่อมทรุดแล้ว การสร้างป่าใหม่ขึ้น ถ้าหากได้ทำอย่างมีระบบ ที่ดีป้องกันไม่ให้นิเวศน์วิทยาเสียไปกว่าที่เป็นอยู่ และไม่เป็นการเอารัดเอาเปรียบคนด้อยโอกาสกว่าแล้ว ก็ย่อมดีกว่า

ไม่ว่าสวนป่ายูคาแปลงนี้จะได้มาจากที่ไหน อย่างไร

แต่ตอนนี้ คงพูดได้แต่เพียงว่า สวัสดีความเศร้า

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us