|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ทัพสินค้าอุปโภคบริโภค งัดกลยุทธ์ไซซ์ซิ่ง ย่อบรรจุภัณฑ์เล็กแก้เกมกำลังซื้อหด เพอร์ซันนัลแคร์กระหน่ำลดขนาด ดัชมิลล์ ดาหน้าคลอด 8 บาท ด้าน "วีไวต์" อัดฉีดกว่า 100 ล้านบาท แตกไลน์สติ๊กหวังเปิดแนวรบครบทุกเซกเมนต์เพื่อโค่นเรโซน่า ปีหน้ารั้งเบอร์ 2 ครองแชร์กว่า 20% ส่วนปีนี้ผงาดเบอร์ 2 ทุกเซกเมนต์กวาดแชร์ 15% จาก 9%
นางสาวศิริสุภา ยิ่งเจริญ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ไบโอ คอนซูเมอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายวีไวต์ เปิดเผยว่า ขณะนี้พบว่าผู้ประกอบการสินค้าอุปโภคบริโภคใช้กลยุทธ์ไซซ์ซิ่ง ด้วยการผลิตสินค้าที่มีขนาดเล็กลง เพื่อให้สอดคล้องกับกำลังการซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงโดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัด อันเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวและค่าครองชีพที่ปรับเพิ่มขึ้น ตลอดจนการกระจายสินค้าที่สามารถเข้าถึงช่องทางจำหน่ายได้หลากหลาย
ทั้งนี้พบว่าสินค้ากลุ่มเพอร์ซันนัลแคร์ออกสินค้าขนาดเล็กลงเพิ่มขึ้น ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย เช่น ทรอส วีไวต์ และทเวลฬพลัส เป็นต้น และจากการสำรวจของผู้สื่อข่าวพบว่า นอกจากนี้ยังมีกลุ่มสินค้าที่งัดกลยุทธ์ไซซ์ซิ่ง อาทิ ดัชมิลล์ เปิดตัวนมเปรี้ยวบรรจุภัณฑ์ 8 บาท คอมฟอร์ท ส่งบรรจุภัณฑ์ซอง หรือกระทั่งนีเวียส่งสกินแคร์ในรูปแบบซองราคา 10 บาท
2 ปีสอยบัลลังก์เรโซน่าขึ้นเบอร์2
นางสาวศิริสุภา กล่าวว่า บริษัทได้ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท แตกไลน์ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายวีไวต์รูปแบบสติ๊ก ส่งผลให้กลายเป็นแบรนด์ที่มีสินค้าครอบคลุมทุกเซกเมนต์ โดยแผนการตลาดบริษัทจะมุ่งเน้นกลยุทธ์ราคา โดยจำหน่ายในราคาถูกกว่าสินค้าคู่แข่ง 25% ในขนาด 10 กรัม จากราคา 20 บาท เหลือ 15 บาท ในช่วงแนะนำสินค้าเมื่อเทียบกับเรโซน่า ราคา 20 บาท นอกจากนี้ยังเปิดตัวบรรจุภัณฑ์ถึง 3 ขนาด ได้แก่ 10 กรัม 20 กรัม และ 40 กรัม
พร้อมกันนี้เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ ชมพู-อารยา เอ ฮาร์เก็ต เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง ขณะเดียวกันยังส่งสูตรใหม่ วีไวต์ ไวท์เทนนิ่ง ไวท์แอนด์ดราย 4 IN 1 ในทุกเซกเมนต์ ได้แก่ โรลออน สเปรย์ และสติ๊ก และปิดช่องทางด้วยการเปิดตัวบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วโรลออน และจำหน่ายในราคาที่ถูกกว่า 10% เพื่อชนกับคู่แข่งนีเวีย อีกทั้งยังเป็นเป็นบรรจุภัณฑ์ที่จำหน่ายดีในห้างสรรพสินค้า
แนวโน้มตลาดผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายมูลค่า 1,535 ล้านบาท ปีนี้เติบโต 11% แบ่งเป็น โรลออน มูลค่า 1,011 ล้านบาท โต 4% สติ๊ก มูลค่า 441 ล้านบาท โต 93% มาจากการผลักดันตลาดของเรโซน่า และสเปรย์ มูลค่า 82 ล้านบาท ไม่เติบโต
สำหรับเป้าหมายของการทำตลาดผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายต้องการให้วีไวต์ขึ้นเป็นอันดับ 2 แทนที่เรโซน่าซึ่งมีส่วนแบ่ง 33% ด้วยการครองส่วนแบ่งกว่า 20% ในปี 2552 จากปัจจุบันมี 9% ส่วนผู้นำตลาดนีเวีย 39% ซึ่งบริษัทมีความมั่นใจเพราะจากการวางโพซิชันนิ่งในความเป็นธรรมชาติและจุดขายความขาว ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งทั้ง 2 แบรนด์วางโพซิชันนิงเป็นด้านวิทยาศาสตร์ แห้งเร็วและความขาว
นางสาวศิริสุภา กล่าวต่อว่า จากการรุกตลาดอย่างหนักในปีนี้ตั้งเป้าจะขึ้นเป็นอันดับ 2 ของทุกเซกเมนต์ของผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นด้วยการเติบโต 40% ได้แก่ โรลออนเพิ่มส่วนแบ่งจาก 8 เป็น 12% แทนที่เรโซน่ามีส่วนแบ่ง 10.6% นีเวีย 49.9% จากมูลค่า 1,011 ล้านบาท และเซกเมนต์สติ๊กปีแรกตั้งเป้า มีส่วนแบ่ง 15% แทนที่นีเวียมีส่วนแบ่ง 7.4% ส่วนเรโซน่า 91% ส่วนทั้งปีตั้งเป้าส่วนแบ่งเพิ่มจาก 9% เป็น 15% สำหรับผลประกอบการโดยรวมครึ่งปีแรกเติบโต 3% โดยกลุ่มวีไวต์คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 12% จากรายได้รวม
|
|
|
|
|