ตัวเลขการขยายตัวของธุรกิจแอร์ไลน์ในปี 51เริ่มส่อแววสะดุด แถมยังเชื่อกันว่าจะขาดทุนถึง 7.5 หมื่นล้านบาททีเดียว แน่นอนการดิ้นงัดสารพัดกลยุทธ์รับมือวิกฤติดังกล่าวของแต่ละค่ายสายการบินต่างออกมาตรการเร่งด่วนกันมาอย่างต่อเนื่อง ภาระจึงตกไปที่ผู้โดยสารซึ่งมีแนวโน้มต้องจ่ายค่าโหลดกระเป๋าเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากค่าฟิวเซอร์ชาร์จ
ขณะเดียวกันการปรับตัวเพื่อหนีภาวะการขาดทุนของแต่ละสายการบินก็เริ่มเห็นภาพชัดเจนขึ้นเมื่อสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส หันไปใช้กลยุทธ์โมเดลเดียวกับโลว์คอสต์แอร์ไลน์อย่างแอร์เอเชียโดยขายตั๋วเริ่มต้นในราคา 0 บาท ประเดิมใน10 เส้นทางบินจากกัวลาลัมเปอร์ จำนวน 2 ล้านที่นั่ง
ขณะที่ความผันผวนจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้สายการบินต่างๆจึงต้องหันใช้กลยุทธ์รับมือผลกระทบที่เกิดขึ้นเช่นทยอยปรับขึ้นค่าธรรมเนียมตามความผันแปรเป็นระยะๆของราคาน้ำมัน ปรับลดและยกเลิกเที่ยวบินที่ไม่ทำกำไร การทยอยปลดระวางเครื่องบินเก่าที่ใช้เชื้อเพลิงสูง และลดต้นทุนด้านบุคลากร รวมทั้งการเพิ่มรายได้ โดยเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้โดยสารในรูปแบบใหม่ๆ เช่นค่าเช็คกระเป๋าที่โหลดใต้ท้องเครื่องบินที่สายการบินไทยแอร์เอเชีย ขอเก็บนำร่องใบละ 30-50 บาทต่อเที่ยวบิน ถ้าน้ำหนักเกิน 15 กิโลกรัม จะเก็บเพิ่มกิโลกรัมละ 80 บาท รวมไปถึงจัดแคมเปญส่งเสริมการขายเช่นเดียวกับโลว์คอสต์ แอร์ไลน์ที่ขายตั๋วในราคา 0 บาท เพื่อหวังเติมเต็มอัตราการบรรทุกเฉลี่ยในเที่ยวบินที่มียอดการจองต่ำ
ด้านวิจายาคูมาราน อาวีลี่ ผู้จัดการประจำประเทศไทย มาเลเซีย แอร์ไลน์ ยอมรับว่าแม้จะได้ทยอยปรับขึ้นค่าธรรมเนียมหรือฟิวเซอร์ชาร์จแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก ขณะเดียวกันก็พร้อมกับอัดแคมเปญส่งเสริมการขายเพื่อเพิ่มรายได้โดยลอกเลียนแบบโมเดลจากสายการบินต้นทุนต่ำ ด้วยการออกแคมเปญ EVERYDAY LOW FARES บินสู่ กัวลาลัมเปอร์ ด้วยราคาเริ่มต้น 0 บาท ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรม เพิ่มรายได้โดยจะนำที่นั่งที่เหลือ 30% จากทั้งหมด มาเปิดให้นักท่องเที่ยวบุ๊กกิ้งด้วยตัวเอง ผ่านเว็บไซต์ malaysiaairlines.com ซึ่งจะกันไว้ทั้งหมด 2 ล้านที่นั่ง ใน 10 เส้นทางบินเข้ากัวลาลัมเปอร์ ได้แก่ กรุงเทพฯ, ภูเก็ต,ลังกาวี ,โคตา คินาบาลู ,จาการ์ตา, สิงคโปร์, บาหลี เซี่ยงไฮ้, เพิร์ธ และบริสเบน ซึ่งสามารถบินได้ภายในเดือนกรกฎาคมไปจนถึงสิ้นปี 2551
ว่ากันว่าแคมเปญดังกล่าวจะทำให้สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์เติมเต็มที่นั่งโดยสารที่เหลือ 30% ในแต่ละเที่ยวบินให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น จากเดิมราคาปกติที่มียอดจองอยู่แล้วเฉลี่ย 70% หากนำมาขายในราคา 0 บาทสร้างเป็นจุดขายใหม่ โดยผู้โดยสารต้องจ่ายค่าฟิวเซอร์ชาร์จที่ปัจจุบันเรียกเก็บราว 4,800 บาท จะทำให้สายการบินมีอัตราการบรรทุกที่ดีขึ้น ผู้โดยสารก็จะให้ความสนใจที่ใช้บริการ เพราะเป็นราคาที่คุ้มค่าในการบินไปกับสายการบินระดับ 5 ดาว ที่มีบริการที่ครบครันและด้วยเส้นทางที่หลากหลายมีให้เลือกที่มากกว่า
ปัจจุบันที่ผ่านมา 6 เดือนตัวเลขนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจที่เดินทางเข้ากรุงกัวลาลัมเปอร์มีการเติบโตถึงร้อยละ จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แม้จะมีบางสายการบินต้องยกเลิกหรือลดเที่ยวบินในระยะไกลหรือบางสายการบินต้องหยุดบินเพราะต้นทุนที่สูงขึ้น แต่มาเลเซีย แอร์ไลน์ ยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก และยังเปิดบินเป็นปกติในทุกเส้นทางด้วยจำนวนเที่ยวบินเท่าเดิม คือเส้นทางกรุงเทพฯ-กัวลาลัมเปอร์ บินอยู่ 28 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เส้นทางภูเก็ต-กัวลาลัมเปอร์บินอยู่ 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และล่าสุดได้สั่งซื้อเครื่องบินโดยสารโบอิ้ง 737-800 อีก 35 ลำ เพื่อนำมาเสริมฝูงบินที่ปัจจุบันมีอยู่ 85 ลำ รองรับการบริการและการขยายเส้นทางบินในอนาคต ซึ่งเครื่องบินดังกล่าวจะทยอยส่งมอบในปี 2553 นี้
ขณะที่แอร์เอเชียที่เป็นเจ้าตำหรับสูตรสำเร็จของการใช้กลยุทธ์เรื่องราคามาเป็นตัวชูโรงตั้งแต่แรกของการให้บริการกลับไม่กังวลว่ามาเลย์เซียแอร์ไลน์จะเข้ามาเขย่าวงการได้มากนัก เนื่องจากแอร์เอเชียมีการปูทางสร้างตลาดขึ้นมามาก่อนและเชื่อว่าการทำตลาดของมาเลย์เซียแอร์ไลน์ครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการของมาเลเซียแอร์ไลน์เองหากไม่มีการวางพื้นฐานการตลาดที่ดีพอ
ขณะเดียวกันแอร์เอเชียยังคงใช้รูปแบบการทำตลาดเดิมๆชูจุดขายด้วยตั๋วราคา 0 บาทเช่นเคยทั้งในประเทศมาเลเซียและต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างไทยแอร์เอเชีย ที่นอกจากจะคัดลอกรูปแบบการตลาดเล่นสงครามราคาแล้วการบริหารจัดการภายในองค์กรก็ให้ความสำคัญไม่น้อย ขณะที่การแข่งขันในตลาดของธุรกิจการบินก็จ่อคิวตามไปในทิศทางเดียวกัน...แต่บิดพลิ้วในเรื่องของวิธีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมซึ่งจะมีความแตกต่างกับคู่กัดอย่างค่ายวัน-ทู-โกโดยสิ้นเชิง
ทั้งในเรื่องของการเก็บค่าธรรมเนียมจากการฝากสัมภาระลงใต้ท้องเครื่อง (โหลด) ภายใต้สโลแกน “กระเป๋าน้อยยิ่งประหยัด” ซึ่งคิดค่าบริการโหลดกระเป๋าที่ผ่านการจองทางอินเตอร์เน็ตในราคาใบละ 30 บาท บริเวณเคาน์เตอร์สนามบินใบละ 50 บาท ผู้โดยสาร 1 คน ต้องมีสัมภาระไม่เกิน 3 ใบ ที่เปิดให้บริการแล้วทั้งเส้นทางในและต่างประเทศ
ไทยแอร์เอเชีย เชื่อว่า การจัดเก็บดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้คนไทยส่วนหนึ่งเดินทางด้วยการขนสัมภาระน้อยชิ้น เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง
แม้ว่าในปลายปีมีกระแสข่าวออกมา “ราคาน้ำมันจะลดลงฮวบฮาบ” ก็ตามเนื่องจากคนส่วนใหญ่หันไปใช้พลังงานทดแทน ส่งผลให้น้ำมันล้นตลาด
ซึ่งอาจจะลดหรือไม่ลด...แต่วันนี้ดัชนีของราคาเซอร์ชาร์จต่างๆของการเดินทางโดยสารด้วยเครื่องบินกลับทะยานพุ่งสูงขึ้นไม่มีทีท่าว่าจะลดลง แม้ว่าราคาตั๋วจะถูกแสนถูกก็ตามผู้โดยสารก็ยังคงแบกรับภาระเหมือนเดิม
|