Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กุมภาพันธ์ 2533








 
นิตยสารผู้จัดการ กุมภาพันธ์ 2533
"โอกาสที่ราคาจะไต่ถึง 1000 จุด ต้องใช้เวลาคงไม่ใช่ 3 - 4 เดือน             
โดย Winslow "Bud" Johnson
 

   
related stories

ข้อมูลบุคคลดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ

   
search resources

ก้องเกียรติ โอภาสวงการ
Stock Exchange




การที่ดัชนีราคาหุ้นไทยต้นปีไม่ขึ้นถึง 900 มันมีสาเหตุอยู่ 3 - 4 สาเหตุด้วยกัน ประการที่หนึ่งปีที่แล้วดัชนีเราขึ้นมาถึง 127 เปอร์เซนต์ ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในย่านนี้ และหลาย ๆ คนมองว่ามันขึ้นเร็วเกินไป จนกลัวจะเกิด COLLAPSE

ประการที่สอง ตลาดใหญ่ ๆ ของโลกคือตลาดโตเกียวและนิวยอร์ค ในช่วงต้นปีนี้มีความผันผวนค่อนข้างสูงมาก ดังนั้นจึงส่งผลให้ตลาดเล็กติดไข้ไปด้วย ทำให้ผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่จึงต้องใช้เวลา CONCENTRATE หรือ FOCUS ในตลาดใหญ่ 2 แห่ง ส่วนตลาดเล็กก็คงจะ TAKE ACTIVE น้อยลง

ประการที่สาม เรื่องภายในประเทศของเราเอง ทุกคนก็ทราบดีถึงความผันผวนทางการเมืองเกิดขึ้น และยิ่งมองว่าต้นปียิ่งมีสูง และปัญหาอื่น ๆ เช่น อัตราดอกเบี้ยก็ดีหรือราคาน้ำมันก็ดี และเรื่องการปั่นหุ้นก็ดีหลาย ๆ เรื่องเป็นปัญหาของเราเอง เพราะฉะนั้นช่วงนี้จึงมีความผันผวนสูงและสาเหตุหลักทั้งสามประการ ก็เลยทำให้นักลงทุนหลาย ๆ กลุ่มเริ่มถอยมาหยุดดูบ้าง หรือถ้ามีอยู่ก็คงไม่ซื้อเพิ่ม หรือซื้อเพิ่มน้อยลง และมีแนวโน้มจะขายเสียมากกว่า ก็แล้วแต่จังหวะ

อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นที่น่าสนใจในย่านนี้คนก็ยังมองว่า มาเลเซียกับไทยยังเป็น TOP และอินโดนีเซียก็ยังเป็นตลาดที่มีโอกาสมาก เนื่องจากปีที่แล้วเขามีการ LIST บริษัท INDOCEMENT ซึ่งใหญ่มาก

เพราะฉะนั้นก็คงใช้เวลาช่วงหนึ่งที่จะให้ตลาดของเขา ABSORB หุ้นอันใหญ่มหาศาลนี้เพราะว่าดูดเงินเข้าไปเยอะเหมือนกัน ประมาณ 340 ล้านเหรียญสหรัฐ เพราะฉะนั้นหุ้นเขาจึงไม่ค่อย ACTIVE แต่ตอนนี้มีแนวโน้มว่า MOVE ขึ้นเหมือนกัน เพราะตอนนี้พวกซีเมนต์เริ่มขาดแคลน

ดังนั้นตัวนี้เป็นตัวดึงดัชนีได้เหมือนกันในตลาดอินโดนีเซีย

สรุปแล้ว ตลาดในย่ายเอเชียแปซิฟิคก็ยังมองว่า ไทย มาเลเซียและสิงคโปร์ก็น่าจะไปได้ดี ส่วนฮ่องกงและฟิลิปปิ้นส์ยังมีความไม่แน่นอนทางการเมืองค่อนข้างสูง ด้านไต้หวันและเกาหลีไม่ต้องพูดถึงเพราะเป็นตลาดปิด

ในตลาดหุ้นเมืองไทย เท่าที่ผมดูมีแต่ข่าวค่อนข้างลบทั้งนั้น ไม่ว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ดีหรือว่าการขึ้นราคาน้ำมันก็ดี หรือเรื่องการเมืองที่มีความไม่แน่นอน สับเปลี่ยนรัฐมนตรีก็ดี และมีข่าวลือว่าคนนั้นจะมีทำอย่างนั้นอย่างนี้ มันเป็นข่าวไม่ดีสำหรับตลาดทั้งนั้น แต่ผมคิดว่าทั้งหมดคงจะเป็นชั่วครั้งชั่วขณะเท่านั้น หลังจากที่รัฐบาลตัดสินใจซื้ออัตราดอกเบี้ยหรือขึ้นราคาน้ำมัน หรืออาจจะผ่านพ้นวาระประชุมทางด้านสภาฯไปแล้วภาพต่าง ๆ ก็คงชัดขึ้น ถึงเวลานั้นตลาดก็คงมีทิศทางแน่นอนมากกว่านี้

การที่ดัชนีราคาหุ้นจะไต่ขึ้นเป็นพันจุดผมคิดว่าคงใช้เวลา ซึ่งก็ไม่ใช่ภายใน 3-4 เดือน คงเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็ว่าอันตรายเหมือนกัน คือดัชนีจะไต่ไปที่ระดับไหนก็แล้วแต่ประการที่หนึ่ง ผลการดำเนินงานของบริษัทต่าง ๆ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ น่าจะมีการประกาศออกมาและ CONFIRM ว่าบริษัทยังโตอยู่ ไม่งั้นเราจะไม่ทราบทิศทางที่แน่นอน

ถ้าดัชนีไต่ไปสูง แต่บริษัทประกาศออกมา ปรากฏว่าผลการดำเนินงานไม่โตอย่างที่คาดไว้หรือกลับตกลงไป คนก็ผิดหวังและคงขายที่ทำให้ดัชนีก็คงตก

ทางด้านการเก็งกำไร มันเป็นทุกตลาด มันต้องมีกลุ่มผสมกันระหว่างนักเก็งกำไร นักลงทุนระยะกลางและระยะยาว พวกเก็งกำไรต้องมีเพื่อหล่อเลี้ยงตลาดให้มีสภาพคล่อง ถ้าทุกคนถือกลางก็อาจจะมีหมุนเวียนน้อยมาก เพราะฉะนั้นมันก็ต้องมีผสมกันไป

สัดส่วนนักเก็งกำไรในบ้านเราค่อนข้างเยอะกว่านักลงทุนระยะกลางและระยะยาว ก็ทำให้ตลาดเราผันผวนได้เร็วเหมือนกัน ผมคิดว่าถ้าได้สัดส่วนนักเก็งกำไร นักลงทุนระยะยาว เป็น 60:40 ผมว่าตลาดยังพอใช้ได้ แต่ปัจจุบันผมเชื่อว่าตลาดเราเป็น 80:20 เป็นลักษณะนั้น

การที่นักลงทุนชาวต่างประเทศชะลอการซื้อของเป็นเพราะคนหลายกลุ่มยังมองว่าจะมี RECESSION ในสหรัฐฯ และคุณดูดัชนีดาวโจนส์ช่วงนี้มันค่อนข้างขึ้น-ลงหวือหวาพอสมควร บางวันขึ้นลงเป็น 1-2 เปอร์เซ็นต์ก้ฒี ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูง เช่นเดียวกับตลาดญี่ปุ่นซึ่งประสบปัญหาแบบเดียวกัน ฉะนั้นสองตลาดใหญ่นี้ขึ้นลงเร็วและมาก ทำให้ทุกคนค่อนข้างกังวล และผมเชื่อว่ายังมีความไม่แน่นอนจนกระทั่งถึงปลายเดือนมกราคมนี้

จำนวนนักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาซื้อขายในไทย เป็นรายบุคคลก็มาก เป็นลักษณะสถาบันค่อนข้างสูง ถ้าคิดเป็นเงินก็สูง ผมเชื่อว่า TURNOVER ต่างประเทศคิดเป็นประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์คือมีทั้งซื้อกระดานไทยกระดานเทศปนกันไปหมด

มูลค่าตลาดตอนนี้ประมาณ 26 BILLION US DOLLARS (ประมาณ 650,000 ล้านบาท) ก็ถือว่าอยู่ในสัดส่วนที่โตขึ้นมาได้เร็วดี ผมเชื่อว่ายังขยายต่อไปได้ แต่ผมอยากให้ขยายต่อในแง่ที่มีหุ้นที่ดี ๆ เพิ่มขึ้น ไม่ใช่ขยายต่อเพราะหุ้นเก่าแพงขึ้นอย่างนั้นมันไม่ดีเท่าไหร่ มันอันตราย

หุ้นบางตัวที่ดูราคาเป็นหลักพันหลักหมื่นอาจจะไม่แพงเท่ากับหุ้นเล็ก ๆ บางตัวที่ราคาเป็นหลักร้อย แต่ผลการดำเนินงานมีกำไรนิดหน่อยและอาจจะโตช้า มันดูที่ราคาตัวหุ้นอย่างเดียวไม่ได้แต่ต้องดูปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย ผลดำเนินงานเป็นอย่างไร โครงการขยายงาน คู่แข่งเป็นอย่างไร และตลาดเขาจะถูกกระทบโดยการ SLOW DOWN ของสหรัฐฯหรือเปล่า หรือกระทบโดยปัญหายุโรปรวมตัวกันในปี 1992 หรือไม่

ทีนี้หันมาดูปัญหาภายในตลาดหุ้นของเราปัญหาซับโบรกเกอร์นั้นถ้าทางการเห็นอะไรที่พิรุธหรือไม่ดีต่อเสถียรภาพของตลาดในระยะยาว ผมก็คิดว่าดีนะครับที่เขาเข้ามาตรวจสอบ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ

ในเรื่องการเก็บภาษีหุ้น (CAPITAL GAIN TAX) ผมไม่อยากให้เก็บ คงเป็นผลลบต่อตลาด เพราะไม่มีตลาดไหนที่เป็นคู่แข่งเราเขาเก็บกัน คือถ้าต้องการตัดการเก็งกำไรของตลาด ผมว่าน่าจะหามาตรการจับนักปั่นหุ้นหรือมาตรการต่าง ๆ ที่ทางการเคยทำมาแล้ว เช่นเรื่อง SETTLEMENT ซึ่งซื้อหุ้นปุบก็จ่ายวันรุ่งขึ้น จ่ายเงินเร็ว อันนั้นก็คงเป็นกลไกที่น่าจะได้ผลมากกว่า

การขึ้นป้ายของตลาดฯในระยะหลัง ๆ ว่าผมเชื่อว่าก็คงได้ผลบ้าง ที่ผ่านมาคนก็เริ่มดูเหมือนกันหลังจากกรณีซับโบรกเกอร์ถูกตรวจสอบ

ในความเห็นของผมคิดว่า การให้คนส่งข้อมูลและทำตามระเบียบตลาดหลักทรัพย์ฯ น่าจะดีหลายครั้งผมคิดว่าปัญหาของเราก็คือ ข้อมูลวงในจะสังเกตเห็นได้ว่า ถ้าดูราคาการเปลี่ยนแปลงของหุ้นจะรู้ว่า หุ้นตัวนี้กำลังจะมีอะไรบางอย่าง ที่ทำให้หุ้นขึ้นอย่างรวดเร็ว ลักษณะอย่างนี้เป็นการเล่นข้อมูลวงในมาเอาเปรียบกัน

อีกประการหนึ่ง ผมยังเชื่อว่าทางการน่าจะสร้างฐานช่วยนักลงทุนให้มากขึ้น ผมยังอยากให้บริษัทประกันหรือสถาบันใหญ่ ๆ เข้ามามีบทบาทในตลาดหุ้นมากกว่านี้ ผมว่าเป็นการถ่วงดุลระหว่างนักเก็งกำไรและนักลงทุนระยะยาว ผมว่าน่าทำลักษณะนี้ดีกว่า

หรือแม้กระทั่งเรื่องที่พูดกันมานานคือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพน่าเข้ามาซื้อหุ้นได้มากขึ้นในตลาดฯหรือประกันภัยน่าจะมีการลงทุนหรือ ACTIVITIES ลงทุนในหุ้นได้มากกว่านี้ ควรมีการแก้กฎหมายเพื่อการนี้ ทำให้สัดส่วนนักเก็งกำไรกับนักลงทุนระยะยาวได้สมดุลมากขึ้น

อีกเรื่องคือการนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ในตลาดฯ ผมคิดว่ามันจำเป็น ถ้าตลาดเราจะขยายโตขึ้นไป เพราะในแต่ละวัน ORDERS ที่มันยังไม่ COMPLETE ค่อนข้างเยอะ และอาจจะมีข้อผิดพลาดคิวผิด

อันนั้นเป็นข้อได้เปรียบเสียเปรียบเกิดขึ้นแต่ถ้าเข้าคอมพิวเตอร์ มันอาจจะ FAIR ขึ้น ไม่มีการแซงคิว

และประการที่สอง มันสามารถสร้าง VOLUME ได้มากขึ้นกว่าเดิม ไม่มี ORDERS ค้างแบบเดิมที่ต้องมาทำต่อตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ในความเห็นของผมคิดว่าเพิ่มแน่ ปัจจุบันช่วงนี้เงียบหน่อย VOLUME 2,000 กว่าล้าน แต่ช่วง PEAK 4,000 กว่าล้าน แต่ผมเชื่อว่าถ้าเปลี่ยนเป็นตลาดคอมพิวเตอร์จะเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 25-30 เปอร์เซ็นต์จากที่ทำอยู่อย่างสบาย ๆ

ส่วนเรื่องการมี SEC (SECURITIES EXCHANGE COMMISSION) ผมคิดว่าจำเป็น เหมือนอย่างต่างประเทศเขามีกัน เพื่อควบคุมปัญหาการปั่นหุ้น การใช้ข้อมูลวงใน หรือแม้กระทั่งพฤติกรรมที่ผิดพลาดของดบรกเกอร์บางราย ก็คงจำเป็นต้องมีนักลงทุนต่างประเทศหลายคนเป็นห่วงว่า เอ...ทำไมเราไม่มี SEC เสียที เพราะมันเป็นการได้เปรียบเสียเปรียบ บางคนใช้ข้อมูลวงในเป็นประโยชน์หลายคนเสียเปรียบเพราะเขาอยู่ไกลและไม่มี CONNECTION ถ้าจะให้ FAIR ก็ต้องเป็นลักษณะนี้กรณีกฎหมายควบคุมหรือลงโทษของตลาดฯ ยังไม่มีตราไว้เฉพาะ และที่ใช้อยู่ตอนนี้ก็เบาเหลือเกินน่าจะมีกฎหมายมารับรองและปรับให้ทันยุคทันสมัยสักที เพราะดูเท่าที่เขาปรับกัน มันน้อยเหลือเกิน

เรื่องของชาวไทย ผมคิดว่าถ้าทางการสงสัยเขาคงมีสิทธิ์ตรวจสอบได้อยู่แล้ว ถ้าพบอะไรผิดปกติเขาคงดำเนินการ ผมเชื่อว่าทางตลาดฯคงติดตามมาหลาย CASES ไม่ใช่ CASE นี้อย่างเดียว

แต่ผมก็ว่าแย่นะ...ที่ตลาดฯเรายังเปราะบางตรงข่าวลือ และพวกนักลงทุนหลายคนยังไม่มีจรรยาบรรณสร้างข่าวลือผิด ๆ และทำให้คนตกใจและเสียหาย ผมว่าพวกนี้น่าจะถูกลงโทษ

ผมเชื่อว่านักเล่นหุ้นต้องเปิดหูเปิดตาให้กว้างจำเป็นต้องอ่านาข่าวหนังสือพิมพ์ เพื่อนฝูง แหล่งข่าวต่าง ๆ และสุดท้ายตัวเองต้องเอามากรอง ผมเชื่อว่า นักเล่นหุ้นที่ดี ต้องไม่ใช่คนหูเบา ถ้าหูเบาก็ตกเป็นเหยื่อของเขาทั้งหมด

ขณะนี้นักเก็งกำไรใหญ่ ๆ หลายคนก็คงออกมายืนดูเฉย ๆ อาจจะไม่ได้เข้าไปลงทุนเล่นหุ้นในช่วงนี้ เพราะว่ากลัวว่าจะเกิดปัญหา มันก็เลยทำให้ตลาดหยุดไป แต่ผมก็เชื่อว่า ไม่เป็นไรเสถียรภาพของเราก็ยังดีอยู่

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us