แอล.พี.เอ็น.ปรับกลยุทธ์การขาย หลังต้นทุนพุ่งรายวัน ล่าสุดแบ่งคอนโดฯ ลุมพินี เพลส พระราม 9 ขายที่ละล็อต หลังจากนั้นปรับขึ้นราคาเมื่อเปิดขายล็อตใหม่ เพื่อให้เหมาะกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น คาดปรับเพิ่มขึ้น 10% ตามต้นทุน จากปีที่แล้วปรับขึ้นเพียง 5% เท่านั้น ผู้บริหารยันกำไรสุทธิใกล้เคียงปีที่แล้ว เหตุได้ลดภาษี
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ต้นทุนก่อสร้างปรับขึ้นสูงมากในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้กำไรขั้นต้นของบริษัทลดลง และที่ผ่านมาได้บริหารต้นทุน พยายามลดค่าใช้จ่าย ซึ่งช่วยลดต้นทุนไปได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ จากมาตรการลดภาษีอสังหาริมทรัพย์ พอช่วยให้ค่าใช้จ่ายได้อีอกทางหนึ่งด้วย
อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทพัฒนาโครงการอาคารสูง คอนโดมิเนียม ซึ่งมีระยะเวลาในการก่อสร้าง 1-2 ปี ทำให้มีความเสี่ยงทางด้านต้นทุนที่ผันแปรอยู่แล้ว ดังนั้น เพื่อป้องกันความเสี่ยง ทางบริษัทจึงได้ปรับแผนการขายโครงการใหม่ โดยแบ่งล็อตการขาย และเมื่อเปิดขายล็อตใหม่ก็จะปรับขึ้นราคาตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี รูปแบบนี้ได้นำมาใช้ก่อนหน้านี้แล้ว โดยปรับราคาขึ้นนับจากวันเปิดขายโครงการครั้งแรก จนกระทั้งปิดการขายจะปรับขึ้นเฉลี่ย 5% แต่ในครั้งนี้เชื่อว่าจะปรับขึ้นประมาณ 10% ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมา 10% เช่นเดียวกัน
“ยอมรับว่า ที่ผ่านมาเราได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เพราะเราพัฒนาอาคารสูง ก่อสร้างนานกว่าแนวราบ แต่เชื่อว่าภายหลังได้ปรับกลยุทธ์ต่างๆใหม่แล้ว อีกทั้งประโยชน์ทางภาษี จะทำให้ในปีนี้จะสามารถรักษากำไรสุทธิไว้ได้เท่ากับปีที่แล้ว ที่ทำได้ประมาณ 16%”
ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวโครงการ “ลุมพินี เพลส พระราม 9 – รัชดา” ใกล้แยกอสมท ติดถนนใหญ่ บนเนื้อที่ 15 ไร่ แบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 เฟสๆ ละ1,165 ยูนิต มูลค่ารวม 5,200 ล้านบาท เป็นโครงการที่มีมูลค่ามากที่สุดที่เคยทำมา และจะเริ่มเปิดขายโครงการในวันที่ 21 มิ.ย.นี้ เพียง 1 วัน จำนวน 30% ของเฟสแรก ราคาเริ่มต้นที่ 51,000 บาท/ตร.ม. ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำ โดยโครงการในย่านดังกล่าวเฉลี่ยราคา 65,000 บาท/ตร.ม. หลังจากนั้นจะทำการเปิดขายใหม่อีกครั้งในราคาที่ปรับขึ้นใหม่ ซึ่งคาดว่าในช่วงเปิดตัวจะสามารถสร้างยอดขายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในโครงการดังกล่าวยังได้นำแนวความคิดด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมภายใต้คอนเซ็ปต์ “LPN Green” มาใช้ในการพัฒนา เริ่มตั้งแต่การออกแบบโดยคำนึงถึงการประหยัดพลังงาน เช่น ออกแบบและวางอาคารเหมาะกับทิศทางลม การใช้กระจกสองชั้นกันความร้อนและเสียง การบำบัดน้ำเสียกับมาใช้ในพื้นที่สีเขียวภายในโครงการ ฯลฯ
นายโอภาส กล่าวต่อว่า การพัฒนาโครงการของบริษัทในปีนี้ จะเน้นไปที่ตลาดกลาง-ล่าง ในแบรนด์คอนโดฯทาวน์ โดยสินค้าที่จะพัฒนาออกมาจะมีราคาเฉลี่ยประมาณ 1 ล้านบาท จากปีที่แล้วประมาณ 2 ล้านบาท และจากการหันมาจับตลาดกลาง-ล่าง ทำให้ในปีที่ผ่านมา บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดคอนโดฯ 20% เกือบ 10,000 ยูนิต จากยอดจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลจำนวน 30,000 ยูนิต ส่วนในปีนี้ คาดว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเป็น 30% สำหรับความก้าวหน้าของยอดขายในช่วง 5 เดือนแรกนี้ จำนวน 4,000 ล้านบาท และคาดว่าครึ่งปีแรกจะมียอดขายจำนวน 5,000 ล้านบาท
“สำหรับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว จากปัญหาราคาน้ำมันแพงและการเมืองในปัจจุบัน ยังไม่ส่งผลกระทบต่อยอดขาย โดยในช่วง 5 เดือนแรกนี้มีอัตราการขายเฉลี่ยที่ 120 ยูนิต/สัปดาห์ ส่วนในปีที่แล้วยอดขายเฉลี่ยทั้งปี 130 ยูนิต/สัปดาห์ แม้ว่าจะต่ำกว่า 10 ยูนิต แต่ก็ถือว่าไม่ได้ต่ำมาก เพราะเป็นยอดขายเฉลี่ย 5 เดือนแรกเท่านั้น "นายโอภาสกล่าว
|