Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน17 มิถุนายน 2551
ตลาดหุ้นโรดโชว์พลาดเป้า-กองทุนฝรั่งเมินลงทุน             
 


   
www resources

โฮมเพจ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

   
search resources

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ภัทรียา เบญจพลชัย
Stock Exchange




ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยอมรับผลตอบรับโรดโชว์ 3 ประเทศพลาดเป้า เผยระยะสั้นกองทุนต่างชาติยังไม่สนใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย หลังภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวจากปัญหาราคาน้ำมันแพงกดดันเงินเฟ้อพุ่ง บวกกับภาวะดอกเบี้ยช่วงขาขึ้น ล่าสุดวานนี้ (16 มิ.ย.) นักลงทุนต่างชาติยังทิ้งของอีก 460 ล้านบาท "ภัทรียา" พอใจที่โบรกเกอร์งดปล่อยกู้ซื้อหุ้นบางบริษัทช่วงลดความเสี่ยงให้ลูกค้า

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึง ผลจากการเดินทางไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ที่ประเทศสิงคโปร์ อังกฤษ และสหรัฐฯ ระหว่างวันที่ 9-13 มิถุนายน 51 ที่ผ่านมา ว่า นักลงทุนต่างประเทศต่างให้ความสนใจเข้ารับฟังข้อมูลเป็นอย่างดี คือมีกองทุนเข้าร่วมทั้งสิ้น 85 แห่ง จำนวนผู้จัดการกองทุน 111 ราย

โดยประเด็นที่ผู้จัดการกองทุนให้ความสนใจสอบถามข้อมูลมี 3 ประเด็นหลัก คือ 1. เรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจ ปัญหาเงินเฟ้อ และการลงทุนในโครงการต่างๆ ของรัฐบาล 2. สถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ และ 3. แนวโน้มการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนไทย

"นักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจเข้ารับฟ้องข้อมูลจำนวนมาก แม้ภาพรวมการลงทุนช่วงนี้จะไม่ค่อยเอื้อต่อการลงทุน จากราคาน้ำมันสูงกระตุ้นให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น และกดดันให้เศรษฐกิจชะลอตัว โดยนักลงทุนส่วนใหญ่จะให้ความสนใจซักถามเรื่องแนวโน้มธุรกิจของบริษัทที่เข้าร่วม ปัญหาเศรษฐกิจ รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองบ้าง โดยประเทศที่ถามเรื่องการเมืองมากสุดคือ สิงคโปร์ ที่อยู่ใกล้กับประเทศไทย"

สำหรับบริษัทจดทะเบียนเดินทางร่วมโรดโชว์ครั้งนี้รวมทั้งสิ้น 14 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดกลาง หลังจากกองทุนเข้าพบแล้วทำให้มีความเข้าใจเรื่องภาวะบริษัทจดทะเบียนที่ชัดเจนขึ้น พร้อมได้เสนอแนะให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วยหามาตรการสนับสนุนการเพิ่มขนาดบริษัทจดทะเบียน การกระจายหุ้น และเพิ่มสภาพคล่องด้วย เพราะกองทุนจะเข้าไปลงทุนเฉพาะในบริษัทที่มีขนาดใหญ่ และมีความคล่องตัวในการเข้า-ถอนการลงทุนได้ง่าย

นางภัทรียา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงระยะสั้นๆ นี้ กองทุนต่างประเทศจะยังไม่กลับเข้ามาลงทุนในไทย เนื่องจากต้องพิจารณาภาพรวมเศรษฐกิจโลก สถานการณ์ราคาน้ำมันที่จะส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมถึงการแก้ไขปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ในสหรัฐฯ ยกเว้นในกรณีที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมากแล้ว อาจจะทำให้นักลงทุนต่างชาติบางส่วนกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เมื่อเห็นว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดี

"ระยะเวลาอันสั้นนี้ นักลงทุนต่างชาติคงจะไม่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะต้องรอประเมินภาพรวมเศรษฐกิจ ทิศทางราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อ ดอกเบี้ย แต่หากราคาหุ้นลดลงมามากอาจจะดึงความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาได้ อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมตลาดหุ้นไทยจะดูไม่ค่อยดีนัก แต่อัตราผลตอบแทนเงินปันผลถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำหน้าที่โรดโชว์ข้อมูลเพื่อให้ความกระจ่างต่อนักลงทุนต่อไป" นางภัทรียากล่าว

ส่วนการที่บริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) บางราย ไม่ปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้ายืมไปหุ้นบางบริษัท (เครดิตบาลานซ์) นั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่ฝ่ายโบรกเกอร์มีการช่วยกันดูแลในเรื่องการซื้อขาย และและลดความเสี่ยงให้แก่นักลงทุน ในการซื้อขายหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายสูง และเป็นเรื่องที่โบรกเกอร์ทุกรายจะต้องมีการตรวจสอบและระมัดระวัง

ต่างชาติทิ้งหุ้นอีก 460 ล้านบาท

ด้านภาวะการลงทุนตลาดหุ้นไทยวานนี้ (16 มิ.ย.) ดัชนีปิดที่ 787.59 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.95 จุด คิดเป็น 0.63% โดยระหว่างวันดัชนีทำจุดสูงสุดที่ 789.18 จุด และมีจุดต่ำสุดที่ 782.64 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 14,281.48 ล้านบาท ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 459.27 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 401.57 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 57.70 ล้านบาท

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า วานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยบวกเล็กน้อยตามตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ตรงตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่ได้รับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวลดลง หลังจากมีความกังวลว่าซาอุดิอาระเบียอาจเพิ่มปริมาณการผลิตเพื่อชะลอความร้อนแรงของราคาน้ำมัน ทำให้ความเกิดความกังวลว่าแนวโน้มราคาน้ำมันดิบจะทรงตัวและลดลงในอนาคต

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบแนวรับที่ 775 จุด และแนวต้านที่ 790 จุด โดยต้องติดตามปัจจัยเรื่องของทิศทางราคาน้ำมันดิบ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่กระทบกับกลุ่มพลังงาน ส่วนปัจจัยอื่นๆ อาทิ การเมืองในประเทศ อัตราดอกเบี้ย คาดว่าในระยะสั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยกลยุทธ์การลงทุน แนะนำขึ้นขาย ลงไม่ซื้อ เนื่องจากมองว่าระยะสั้นตลาดยังรับรู้ปัจจัยลบไม่หมด แม้จะมีการรีบาวน์กลับทางเทคนิคบ้าง แต่ยังไม่เห็นปัจจัยบวกที่ชัดเจน

นางสาววราภรณ์ วิบูลคณารักษ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้คาดจะแกว่งตัวในกรอบ 780-795 จุด โดยปัจจัยที่ต้องติดตามยังคงเป็นราคาน้ำมันดิบ และทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากจะมีการประกาศผลประกอบการของสถาบันการเงินหลายแห่ง อาทิ เลห์แมน บราเธอร์ส และโกลแมนแซค เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ รวมถึงตลาดหุ้นทั่วโลก สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ซื้อขายในกรอบ โดยกลุ่มที่แนะนำ คือ กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มค้าปลีก เนื่องจากเป้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อน้อยกว่ากลุ่มอื่น

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยรีบาวน์กลับ เนื่องจากมองว่าที่กรอบ 770-780 จุด เป็นพื้นที่สำหรับสะสมหุ้น สำหรับนักลงทุนระยะกลางและระยะยาว หลังดัชนีดูดซับปัจจัยลบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง อัตราเงินเฟ้อ มาพอสมควรแล้ว ประกอบกับเมื่อพิจารณาสถิติการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ ในช่วงเวลา 16 ปีที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีอยู่ 6 ปี ที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ ซึ่งมากที่สุดอยู่ในปี 37 ที่ประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาท ซึ่ง ณ ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติขายมาแล้วประมาณ 3.3 หมื่นล้านบาท ทำให้เชื่อว่าแรงขายช่วงนี้จะเบาบางลง ทำให้ความกดดันจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติลดลง

ทั้งนี้ มองว่าตลาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสปรับตัวบวกต่อเนื่อง แต่จะขยับได้ไม่ไกล เนื่องจากปัจจัยลบต่างๆ ยังกดดันตลาดอยู่ โดยประเมินแนวรับที่ 780 จุด แนวต้านที่ 800 จุด ในภาวะที่ดาวไซด์มีจำกัด-อัพไซด์เปิดกว้าง ส่วนประเด็นที่ต้องติดตามยังเป็นเรื่องเดิมๆ ได้แก่ ราคาน้ำมันดิบ ตลาดหุ้นต่างประเทศ และการเมืองในประเทศ สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำทยอยซื้อสะสมสำหรับนักลงทุนระยะยาว กลุ่มที่น่าสนใจคือ กลุ่มส่งออก จากแนวโน้มเงินบาทที่อ่อนค่าลง   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us