Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน17 มิถุนายน 2551
นักวิเคราะห์หั่นเป้าดัชนีเหลือ927จุด             
 


   
search resources

สมบัติ นราวุฒิชัย
Investment




สมาคมนักวิเคราะห์ เผยผลสำรวจนักวิเคราะห์ หั่นเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยเหลือแค่ 927 จุด จาก 958 จุดในการสำรวจครั้งก่อน และจีดีพีเหลือ 5% หลังเกิดสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ระบุครึ่งปีหลังนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย เหตุค่าเงินดอลลาร์อ่อนเงินไหลหาแหล่งลงทุน-กำไรบจ.โตดี พร้อมแนะ นโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลควรชัดเจน ลดความขัดแย้ง ฝ่าปัญหาเศรษฐกิจการเมือง

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยถึง ผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์เรื่อง "แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้น ภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนไป" ว่า สมาคมได้รับความร่วมมือจากบริษัทหลักทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ความเห็นจำนวน 21 แห่ง โดยนักวิเคราะห์ที่ตอบแบบสอบถามทั้งหมดให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านการเมืองที่จะมีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

โดยประเด็นการเมืองที่ส่งผลกระทบมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ การชุมนุมคัดค้านทางการมืองที่อาจะนำไปสู่ความรุนแรง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยคิดเป็นสัดส่วน 67%, 52% และ 24% ของจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดตามลำดับ ขณะที่ทิศทางของสถานการณ์ทางการเมืองในระยะ 6 เดือนข้างหน้า นักวิเคราะห์มองว่า แย่ลง 52% ดีขึ้น 33% และไม่เปลี่ยนแปลง 14%

สำหรับปัจจัยอื่นๆ นอกจากประเด็นเรื่องการเมือง ที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังนั้น ได้แก่ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นจนส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้น นักวิเคราะห์ให้น้ำหนักสูงสุดถึง 71% อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น 67% และอันดับสาม ปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก จากวิกฤตทางการเงินของสหรัฐฯ จนขยายวงกว้างไปยังประเทศอื่นๆ 29%

ส่วนปัจจัยบวกที่จะกระทบการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง อันดับแรก คือ การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ คิดเป็นสัดส่วน 52% อันดับสอง แนวโน้มรายได้และกำลังซื้อของภาคเกษตรกรจากราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้น 29% และอันดับสาม เงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ จากการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่คาดว่าจะขยายตัวในระดับที่ดี 19%

นายสมบัติ กล่าวว่า นักวิเคราะห์คาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้อยู่ที่ 927 จุด ลดลงจากการเดิมก่อนที่จะมีการชุมนุมทางการเมืองที่ 982 จุด และจากการสำรวจเมื่อเดือนม.ค. อยู่ที่ 958 จุด โดยมีผู้คาดการณ์ 1 รายที่คาดการณ์ไว้สูงถึง 1,200 จุด ขณะที่สำนักที่เหลือทั้งหมดไม่มีรายใดคาดการณ์สูงกว่า 970 จุด

พร้อมกันนี้ นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ สิ้นปี 2552 โดยเฉลี่ยจะสามารถปรับขึ้นไปที่ระดับ 1,081 จุด โดยมี ผู้คาดการณ์ไว้สูงสุดที่ 1,400 จุด

ทั้งนี้ คาดอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth ปีนี้ จะอยู่ที่ 5% ลดลง จากก่อนเกิดเหตุการณ์ชุมนุมคาดไว้ที่ 5.3% แต่ยังสูงขึ้นเล็กน้อยจากระดับเฉลี่ย 4.8% ในการสำรวจครั้งที่แล้วเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยคาดกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนปีนี้ อยู่ที่ 19.7% จากก่อนการชุมนุมประเมินที่ 21% แต่ก็ยังสูงกว่าการสำรวจครั้งที่แล้วที่ 18.9%

อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นจากการประเมินครั้งก่อน โดยเมื่อ 29 มค.51 เคยคาดการณ์ดอกเบี้ย RP 1 วัน ณ สิ้นปี 2551 อยู่ที่เฉลี่ย 3.10% แต่ปัจจุบันคาดการณ์ไว้ที่เฉลี่ย 3.56% และคาด อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและดอลลาร์สรอ. ณ สิ้นปี 2551 เช่นกัน โดยก่อนเหตุชุมนุม คาดไว้เฉลี่ยอยู่ที่ 31.9 บาทต่อดอลลาร์สรอ. ในขณะที่ปัจจุบันปรับประมาณการใหม่เป็น 32.7 บาทต่อดอลลาร์สรอ.

"บจ.ปีนี้ที่มีการเติบโตของงกำไรต่อหุ้นมากที่สุดนักวิเคราะห์คาดว่าจะเป็นหุ้นกลุ่ม ธนาคาร จะโตเพิ่มขึ้น 466.6% จากปีก่อนที่มีการตั้งสำรองฯที่ สูง อันดับสองคือ อสังหาริมทรัพย์ เติบโตเฉลี่ยที่ 28.1%ที่ได้ประโยชน์จากการลดภาษีการโอน อันดับต่อมาคือ กลุ่มเดินเรือ เติบโตเฉลี่ยที่ 12.2% หุ้นแนะนำลงทุน BANPU, HANA, KBANK, PTTEP, SCB นักลงทุนระยะกลางและยาว ให้ทยอยสะสมหุ้นเมื่ออ่อนตัวลง เน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ได้รับผลกระทบน้อยจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น มีกระแสเงินสดดี และมีเงินปันผลสูง" นายสมบัติ กล่าว

สำหรับประเด็นที่เสนอข้อแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ ตลาดทุน และ/หรือสังคมของประเทศ คือ นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลควรมีความชัดเจนและคำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว ควรร่วมมือกันประหยัดพลังงาน และ ประชาชนควรมีความสมานฉันท์ และร่วมมือกัน ลดความขัดแย้ง เพื่อช่วยให้ประเทศฝ่าฟันปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองไปได้   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us