Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์16 มิถุนายน 2551
หุ้นทรุดค่าเงินดิ่ง-เฟ้อ 25% เป็นหรือตาย?ไอเอ็มเอฟชงยาขมรับ"วิกฤตแหนมเนือง"             
 


   
search resources

Economics




เศรษฐกิจเวียดนามที่เคยเป็นดาวรุ่งแห่งเอเชียกำลังเจอมรสุมรอบด้าน นักวิเคราะห์กล่าวว่าหากจัดการไม่ดีพอก็อาจจะพัฒนากลายเป็นวิกฤตตัวใหม่และอาจจะแพร่ลามออกไปอย่างกว้างขวาง คล้ายๆ กับ ที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อ 11 ปีก่อน จนเป็นที่รู้นักกันดีทั่วโลกในนามของ "โรคต้มยำกุ้ง"

สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นในยุคที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอยอย่างรุนแรง ก็ยิ่งทำให้วิตกกันว่าปัญหาอาจจะลุกลามไปไกล ทำให้เกิดวิกฤตรอบใหม่ขึ้นทั่วโลก ในยุคที่ข้าวยากหมากแพง

นักวิเคราะห์สำนักต่างๆ กำลังเฝ้าดูการก่อตัวของ "โรคแหนมเนือง" ในเวียดนาม ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF (International Monetary Fund) ก็กำลังจับตาอย่างใกล้ชิด

เจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟได้กล่าวในที่ประชุมทางเศรษฐกิจนัดหนึ่งในสัปดาห์ต้นเดือนนี้ แนะนำให้เวียดนามต้องดำเนินมาตรการด้านการเงินการคลังอย่างรัดกุม ลดรายจ่ายของภาครัฐลงโดยด่วนและเอาใจใส่กับภาคการธนาคารของประเทศให้มากยิ่งขึ้น

แม้จะเป็นการออกเตือนตามหน้าที่ แต่ความเคลื่อนไหวในครั้งนี้ของไอเอ็มเอฟได้ทำให้เหตุการณ์เก่าๆ ที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วงปี 2538-2540 แล้วกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง

เมื่อปีที่แล้วเศรษฐกิจเวียดนามที่ขยายตัวถึง 8% ได้รับการแซ่ซ้องจากฝ่ายต่างๆ ให้เป็น "เสือตัวใหม่" แห่งเอเชีย ตลาดหลักทรัพย์นครโฮจิมินห์ที่เพิ่งเกิดใหม่ แม้ขนาดจะยังเล็กมากแต่ให้ผลตอบแทนแก่นักลงทุนอย่างดีเยี่ยม จนได้รับขนานนามเป็นตลาดหุ้นที่ดีที่สุดในโลก

ตามตัวเลขอย่างเป็นทางการของสำนักงานใหญ่สถิติ (General Statistics Office) เงินเฟ้อปีต่อปีในเดือน พ.ค.ผ่านมาพุ่งขึ้นสูง 25.3% โดยราคาอาหารกับเชื้อเพลิงพุ่งนำหน้า แม้ว่ารัฐบาลจะได้ออกหลายมาตรการสกัดภัยเงินเฟ้อตั้งแต่ต้นปีมานี้แต่ยังไม่เป็นผล

ในตลาดทุนของประเทศ ดัชนีเวียดนาม (Vn-Index) ที่เคยพุ่งทะยานขึ้นไปถึง 1,170 จุดในเดือน มี.ค.2550 ตกอยู่ในสภาพลุ่มๆ ดอนๆ หลังจากนั้น และค่อยๆ ดิ่งหัวลงในช่วงต้นปีมานี้

อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นสูงและธนาคารแห่งรัฐเวียดนาม หรือ SBV (State Bank of Vietnam) ออกพันธบัตรสภาพคล่องที่ล้นในระบบ และปรับดอกเบี้ยมาตรฐานขึ้นเป็น 12% สกัดการปล่อยกู้

มาตรการสู้เงินเฟ้อยังไม่เกิดผลแต่ได้ทำให้เงินด่งซึ่งนักลงทุนจะต้องใช้ในการซื้อขายหุ้นจะเริ่มเหือดไปจากตลาดตั้งต้นปี เป็นทำให้วอลุ่มการซื้อขายลดลงและดัชนีตกต่ำลงเรื่อยๆ

ในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาไม่มีวันทำการใดที่ "หุ้นไม่ตก" จนกระทั่งดัชนีดิ่งลงต่ำกว่าแนวรับทางจิตวิทยาสำคัญระดับ 400 ในวันพุธ 4 มิ.ย. และ VN-Index ที่เคยเป็นดัชนีร้อนแรงเมื่อปีที่แล้วปิดลงที่ 384.24 จุดเมื่อตลาดปิดการซื้อขายประจำสัปดาห์ในวันศุกร์ เป็นอันว่าเวลา 14-15 เดือนที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหลักทรัพย์นครโฮจิมินห์หายไปแล้วเกือบ 2 ใน 3

การที่เงินแห้งหายไปจากตลาดอันเป็นมาตรการสกัดเงินเฟ้อนั้น ยังส่งผลสะเทือนไปยังธุรกิจและอุตสาหกรรมอื่นๆ อย่างเป็นลูกโซ่และอย่างเกินความคาดหมาย

นักลงทุนที่ตื่นตระหนกจากตลาดหุ้น ได้กว้านซื้อทองคำเข้าเก็บ และทำให้เกิดข่าวลือเกี่ยวกับโอกาสที่จะมีการลดค่าเงินด่ง ซึ่งได้ทำให้เกิดความวิตกไปสู่วงการต่างๆ เป็นทอดๆ

การตื่นทองและตื่นเงินได้ทำให้ ทั้งนักลงทุนร้านค้าร้านขายและประชาชนคนเดินดินทั่วไปพากันออกกว้านซื้อเงินดอลลาร์ แม้ว่าในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาเงินด่งได้แข็งค่าอย่างสูงมาก เมื่อเทียบกับเงินสกุลสหรัฐฯ อันเป็นผลจากมาตรการดูดซับของรัฐ

ในสัปดาห์ต้นเดือน มิ.ย.นี้ อัตราแลกเปลี่ยนในตลาดมืดวูบลงเป็น 17,500 ด่งต่อดอลลาร์ ขณะที่ SBV ยังคงอัตราทางการเอาไว้ที่ 16,060 ด่งอย่างไม่เปลี่ยนแปลง หลังใช้อัตรานี้มาตั้งแต่ไตรมาสที่ 1

ค่าเงินที่อ่อนตัวลงอาจจะเป็นผลดีต่อการส่งออก แต่อัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนได้ส่งผลกระทบต่อการนำเข้าอย่างรุนแรง

ตลอดเดือน พ.ค. ท่าเรือไซ่ง่อนนครโฮจิมินห์คับคั่งไปด้วยตู้คอนเทนเนอร์สินค้าจากต่างแดน เนื่องจากผู้นำเข้าไม่ยอมนำไปผ่านกระบวนการศุลกากร เพราะว่าค่าเงินที่อ่อนลงได้ทำให้สินค้าแพงขึ้นและมีภาระภาษีเพิ่มขึ้น

นักวิเคราะห์ของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์กล่าวว่า เงินด่งกำลังถูกดดันอย่างหนัก ปัญหานี้จะยังไม่ได้รับการแก้ไขจนกว่าตัวเลขขาดดุลการค้าจะลดลง

ปัญหาเศรษฐกิจในเวียดนามกำลังเป็นปัญหางูไล่งับหางตัวเอง และเริ่มขาดไปทีละท่อนๆ

ปัญหาหนึ่งที่รุมเร้าหนักพอๆ กันก็คือ หนี้ที่ไม่ก่อรายได้ในระบบที่กำลังพอกตัวขึ้นอันเนื่องมาจากผลกระทบของเงินเฟ้อ ซึ่งได้ทำให้ธุรกิจบ้านที่อยู่อาศัยและที่ดินซบเซาลงอย่างทันตาในชั่วเวลาเพียงข้ามปีเท่านั้น

ปีที่แล้วนักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิงคโปร์ มาเลเซียและฮ่องกง ต่างมุ่งหน้าเข้าเวียดนามก่อสร้างโครงการต่างๆ เกาะกระแสเศรษฐกิจที่เติบในอัตราสูง การลงทุนในธุรกิจนี้มีมูลค่านับ 10,000 ล้านบาท

โครงการบ้านจัดสรรระดับหรูจึงผุดขึ้นแห่งแล้วแห่งเล่า ในโฮจิมินห์ กรุงฮานอย ในเมืองใหญ่อื่นๆ รวมทั้งปลายท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ

แต่ชั่วเวลาเพียงข้ามปีสถาบันการเงินแห่งต่างๆ ต้องไล่ยึดบ้านและห้องพักต่างๆ คืนจากลูกค้า

ตลาดหุ้นที่ตกต่ำได้ทำให้บรรดา “มนุษย์ทองคำ” ในบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำต่างๆ ที่เคยได้รับค่าจ้างเงินเดือนคิดเป็นเงินไทยหลายหมื่นหรือนับแสนบาทต้องออกจากงาน หรือเปลี่ยนงานใหม่ที่รายได้ต่ำลง

ในช่วงหนึ่งของชีวิตคนเหล่านี้ใช้เงินซื้อทุกสิ่งทุกอย่าง บ้านหลังที่ 2 ที่ดิน คอนโดหรูกับรถยนต์ราคาแพง ในวันนี้ “พวกเศรษฐีใหม่” ไม่มีแรงที่จะผ่อนชำระอีกต่อไป

ไกลออกไปเศรษฐกิจร้อนไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขบวกหรือลบบนกระดาษเท่านั้น แต่กำลังส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน 85 ล้านคนอย่างหนักหน่วง เนื่องจากราคาอาหารกับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ราคาแพงลิ่ว

ในไตรมาสที่ 1 ปีนี้คนงานตามโรงงานต่างๆ กว่า 300 แห่งได้นัดหยุดงานเรียกร้องขอขึ้นค่าแรง ส่วนใหญ่เป็นโรงงานของนักลงทุนต่างประเทศ

จนกระทั่งถึงเมื่อกลางๆ ปีที่แล้ว เวียดนามยังคงเป็นสวรรค์วิมานของทุนต่างชาติที่มุ่งเข้าไปแสวงหาแรงงานราคาถูก และประเทศนี้ถูกเรียกเป็น "จีนน้อย" (Mini China)

ในปี 2549 มาเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศไหลเข้าเวียดนามถึง 12,000 ล้านดอลลาร์ เทียบกับประมาณ 6,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปีก่อน จากนั้นก็ไหลบ่าแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ตัวเลขจีดีพีทะยานไปข้างหน้าอย่างลิงโลด

ทางการเวียดนามกล่าวว่าในปี 2551 นี้มีโครงการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (Foreign Direct Investment) มูลค่าราว 35,000 ล้านดอลลาร์รอการอนุมัติ แต่สถานการณ์เงินเฟ้อรุนแรงที่กำลังส่งผลกระทบในวงกว้าง ทำให้นักลงทุนหยุดคิดและหันมองรอบๆ ข้าง

ในการประชุมสัมมนาระหว่างรัฐบาลกับประเทศผู้บริจาคและผู้ลงทุนในเมืองซาปา นักลงทุนได้แสดงความกังวลต่อเงินเฟ้ออย่างตรงไปตรงมาและเรียกร้องให้เวียดนามเอาใจใส่กับภาคการเงินของประเทศอย่างจริงจัง

ต่างกับนักลงทุนในตลาดหุ้น สิ่งที่นักลงทุนในภาคเศรษฐกิจจริงกลัวมากที่สุดก็คือ ต้นทุนที่จะเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือค่าจ้างแรงงานที่จะสูงขึ้นอันเนื่องมาจากเงินเฟ้อ

อย่างไรก็ตามเวียดนามยังเชื่อว่า จะฝ่าปัญหาต่างๆ ในช่วงนี้ไปได้อย่างเรียบร้อยและผลผลิตมวลรวมภายในประเทศจะยังคงเติบโตในระดับสูงต่อไป

นายหวอห่งม์ฟุก (Vo Hong Phuc) ได้กล่าวในที่ประชุมระหว่างรัฐบาลกับตัวแทนประเทศผู้บริจาคและบรรดานักลงทุน ซึ่งจัดขึ้นเมื่อต้นเดือนนี้ที่เมืองซาปา (Sapa) ทางตอนเหนือของประเทศ ระบุว่าตัวเลขเงินเฟ้อในช่วง 5 เดือนแรกของปีอยู่ในระดับ 15.96% เท่านั้น และคาดว่าทั้งปีจะอยู่ประมาณ 21% ขณะที่เวียดนามได้ปรับลดเป้าการขยายตัวของเศรษฐกิจลงเหลือ 7% จาก 8.5% ก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตามนายฟุกกล่าวว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าในช่วงเดือน ม.ค.-พ.ค.ปีนี้พุ่งขึ้นถึง 61.6% เป็น 14,400 ล้านดอลลาร์ เทียบกับ 17.9% หรือ 12,000 ล้านดอลลาร์ ในช่วงเดียวกันปีที่แล้ว แต่การขาดดุลมหาศาลนี้เกิดจากการขาดดุลชำระเงินที่เพิ่มขึ้นกับอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน มากกว่าสาเหตุจากการนำเข้าสินค้าเพิ่มมากขึ้น

เวียดนามได้เริ่มตัดรายจ่าย โดยสั่งระงับหรือเลื่อนการลงทุนโครงการใหญ่ขนาดใหญ่ของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจต่างๆ ลงนับร้อยโครงการคิดเป็นมูลค่าถึง 14 ล้านล้านด่ง จากทั้งหมดรวมมูลค่า 135 ล้านล้านด่งที่มีกำหนดดำเนินการในปีนี้

แต่นักวิเคราะห์กล่าวว่า เท่านั้นยังไม่เพียงพอ เวียดนามอาจจะต้องกล้ำกลืนอย่างเจ็บปวดลดค่าเงินด่งลงภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า อันเป็นสิ่งที่รัฐบาลคอมมิวนิสต์ออกปฏิเสธเมื่อเดือนที่แล้ว

หากไม่มีการลดค่าเงิน ภายใน 6 เดือนข้างหน้าเวียดนามอาจจะต้องกลืนยาขมของไอเอ็มเอฟ เช่นที่เกาหลีใต้กับไทยเคยกลืนมาแล้วหลังวิกฤตใหญ่ปี 21540 นักวิเคราะห์กล่าว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us