Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน13 มิถุนายน 2551
หุ้นไทยซึมยาว 2 เดือน-ฝรั่งพักรอรัฐแก้เงินเฟ้อ             
 


   
search resources

Stock Exchange




นักลงทุนต่างชาติรอดูทิศทางเงินเฟ้อ-ดอกเบี้ย ทิ้งหุ้นไทยอีกเกือบ 3 พันล้านบาท ขณะที่ผู้บริหาร บล.ทิสโก้ ฟันธงตลาดหุ้นไทยซึมลากยาวอีก 2 เดือน ด้าน "จักรมณฑ์" แนะใช้นโยบายดอกเบี้ยเข้ามาดูแลเรื่องเงินเฟ้อ ส่วนผู้บริหาร "ไทยยูนีคคอยล์" ยันผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่ได้เทขายหุ้น แต่เจอมือมือทิ้งหุ้นเพียบทำให้ราคาหุ้นรูดไม่หยุด และวานนี้ (12 มิ.ย.) วอลุ่มสูงสุดติดอันดับ 1 มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท

ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (12 มิ.ย.) ปรับตัวลดลงในช่วงเช้าจากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น เร่งให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น แต่ช่วงบ่ายได้มีแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานเข้ามาทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นได้บ้าง โดยมีจุดสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 791.68 จุด ต่ำสุด 782.91 จุด ก่อนจะปิดปิดที่ 790.80 จุด ลดลงจากวันก่อน 0.86 จุด หรือ 0.11% มูลค่าการซื้อขาย 22,529 ล้านบาท

โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,919.95 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,219.44 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,700.52 ล้านบาท

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ทิศทางปรับตัวลดลงและมูลค่าการซื้อขายเบาบางไปอีก 2 เดือน เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศรอดูทิศทางและความชัดเจนเรื่องอัตราเงินเฟ้อ หลังจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันยังต้องติดตามการดำเนินการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยด้วย

สำหรับจากปัจจัยดังกล่าวที่ยังไม่มีความชัดเจน ทำให้นักลงทุนต่างประเทศไม่กลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่หากปัจจัยดังกล่าวชัดแล้วนักลงทุนจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งในปีนี้ยอดการซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติหมดแล้ว ทำให้มียอดขายสุทธิ 30,108.95 ล้านบาท

ทั้งนี้ แม้ว่าราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น กดดันให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นตามไปด้วยนั้น คงจะไม่ส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี 51 นี้มากนัก

"ตลาดหุ้นไทยจะยังคงซึมๆ วอลุ่มบางไปอีก 2 เดือน เพื่อรอให้เงินเฟ้อนิ่งก่อน และติดตามแบงก์ชาติว่าจะมีการดำเนินการและดูแลเงินเฟ้ออย่างไร ทำให้นักลงทุนต่างชาติทยอยขายหุ้นและไม่เข้ามาซื้อเพิ่ม เพราะต้องรอความชัดเจนก่อน ซึ่งลักษณะดังกล่าวถือเป็นเหมือนกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเนื่องจากได้รับแรงกดดันจากปัจจัยเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การเติบโตเศรษฐกิจชะลอตัว" นายไพบูลย์ กล่าว

ปัจจัยนอกกดดันตลาดหุ้นไทย

นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาดลูกค้าบุคคล บล.ธนชาต กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นในช่วงเช้าปรับลงตามดาวโจนส์ที่ปรับลดลง 205.99 จุด จากความกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น 5.07 เหรียญ ปิดที่ 136.68 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) ที่ยังส่งผลกับภาคการเงินของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้สถาบันการเงินขนาดใหญ่ต้องตั้งสำรองเพิ่มหรือต้องเพิ่มทุน

ขณะที่ ในช่วงบ่ายดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงานที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น ช่วยพยุงให้ดัชนีติดลบเพียงเล็กน้อย โดยมองว่าเป็นการรีบาวน์ทางเทคนิคเมื่อดัชนีลงมาใกล้ทดสอบแนวรับ 780 จุด

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (13 มิ.ย.) ดัชนีมีโอกาสรีบาวน์กลับทางเทคนิค หากไม่มีปัจจัยลบใหม่เข้ามา เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาลงมาเร็วมาก แต่หากมีการรีบาวน์คงไม่มาก ซึ่งจะต้องติดตามราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อ ทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ และปัจจัยทางการเมือง โดยช่วงนี้ปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นไทยคือ ปัจจัยต่างประเทศมากกว่าปัจจัยภายใน

ส่วนกลยุทธ์การลงทุน แนะนำลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เช่น กลุ่มพลังงาน และกลุ่มค้าปลีก ซึ่งสามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปสู่ผู้บริโภคได้มากกว่ากลุ่มอื่น ซึ่งประเมินแนวรับที่ 780 จุด และแนวต้านที่ 795-800 จุด

แรงซื้อหุ้นน้ำมันวอลุ่ม2หมื่นล.

นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตลอดทั้งวันโดยปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 782 จุด จากนั้นดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดหุ้นต่างประเทศที่รีบาวน์ขึ้นมาก และมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงานในช่วงก่อนปิดการซื้อขายจากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 5 เหรียญสหรัฐหลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐประกาศน้ำมันสำรองออกมาลดลง ทำให้ราคาหุ้น ปตท. บ้านปู ปตท.สผ ปรับตัวพิ่มขึ้นทำให้มูลค่าการซื้อขายหนาแน่อนอยู่ที่ระดับ 20,000 ล้านบาท

ทั้งนี้จากการที่ราคานำมันสูงขึ้นทำให้นักลงทุนมีความกังวลในเรื่องการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อที่จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโดยปัจจัยดังกล่าวจึงเป็นประเด็นที่กิดดันตลาดหุ้นทั่วโลก ส่วนการที่ทางจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) เตือนว่าไทยอาจถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือหากเกิดความรุนแรงทางการเมือง

"บริษัทคาดว่าจากเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย น่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีนี้ แต่ขึ้นอยู่กับค่าเงินบาทเช่นกัน ซึ่งหากอ่อนค่าเร็วจะยิ่งเป็นแรงกดดันที่จะทำให้ธปท.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น"

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าเคลื่อนไหวในกรอบแถบๆในทิศทางที่ปรับตัวลดลง จากยังคงได้ปัจจัยกดดันเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่สูง โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 758 จุดแนวต้านที่ระดับ 800 จุด

นายอภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.บีฟิท กล่าวว่า ตลาดหุ้นตกอยู่ภายใต้ความกังวลเรื่องราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะกดดันอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันมีการคาดการณ์ว่าดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพฤษภาคมของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในคืนวันศุกร์จะเพิ่มขึ้นสูงสุดตั้งแต่ต้นปี ได้สร้างกังวลให้กับนักลงทุน เห็นได้จากดาวโจนส์ที่ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ดีตลาดหุ้นไทยติดลบเพียงเล็กน้อย ซึ่งมองว่าเป็นเพราะดัชนีลดลงมามาก และหุ้นพื้นฐานบางตัวราคาก็ลงมาต่ำกว่าราคาที่เหมาะสมทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามา

ส่วนแนวโน้มวันนี้ คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวแคบในกรอบแนวรับ 780-782 จุด และแนวต้าน 800 จุด รอดูดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในช่วงกลางคืน โดยราคาน้ำมันดิบจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบกับบรรยากาศการลงทุนต่อเนื่องไปถึงสัปดาห์หน้า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำทยอยซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและราคาลงมาต่ำกว่าราคาที่เหมาะสม โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานและกลุ่มแบงก์

ชี้นโยบายดบ.เน้นดูแลเงินเฟ้อ

นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นต่อเนื่องอาจมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นอัตราเงินเฟ้อของไทยเป็นเลข 2 หลัก ดังนั้นการที่ภาคเอกชนต้องการให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้เพื่อดูแลเศรษฐกิจ อาจจะไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง เพราะการที่น้ำมันแพงได้กระทบต่อผู้มีรายได้น้อย ธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ต้นทุนสูงส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อนโยบายดอกเบี้ยจึงต้องดูแลเงินเฟ้อเป็นหลัก เพราะปัญหานี้กระทบภาพรวมไม่ได้กระทบต่อการลงทุน ประกอบกับดอกเบี้ยไทยยังต่ำมากหากจะขึ้นอีก 25 สตางค์ก็ยังไม่มีปัญหา

ส่วนกรณีที่รัฐบาลเวียดนามประกาศลดค่าเงินและขึ้นดอกเบี้ย 2% เพื่อดูแลปัญหาเงินเฟ้อนั้น ยอมรับว่าอาจจะมีความอ่อนไหวและเปราะบางต่อเศรษฐกิจเวียดนามโดยรวมบ้าง ดังนั้นการลงทุนตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่อยู่ระหว่างตัดสินใจไปลงทุนส่วนหนึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะมาลงทุนที่ไทยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามปัญหาดังกล่าวคงไม่กลายเป็นวิกฤติปี 2540 เพราะอดีตโครงสร้างทางการเงินของประเทศไทยและเอเชียอ่อนแอ มีการลงทุนเกินตัวซึ่งที่ผ่านมาได้รับการแก้ไขมาระดับหนึ่งแล้ว ประกอบกับรัฐบาลเวียดนามสามารถสั่งการได้รวดเร็ว

"เป็นไปได้การลงทุนส่วนหนึ่งจะมาไทยแต่การลงทุนของไทยกับเวียดนามส่วนหนึ่งยอมรับว่าต่างกันไทยเลยจุดที่ต้องการลงทุนทุกสิ่งอย่างไปแล้ว วันนี้ไทยสามารถเลือกการลงทุนได้มากขึ้นจึงถือว่าปัญหาเวียดนามไม่ได้เป็นโอกาสทั้งหมดของไทยเพราะเราต้องเลือกการลงทุน" นายจักรมณฑ์กล่าว

นายจักรมณฑ์ กล่าวว่า แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะต้องเผชิญกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจนทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นต่อเนื่องนั้นแต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเสริมที่ดีคือ 1. การส่งออกของไทยยังมีการขยายตัวต่อเนื่อง 2. ราคาสินค้าภาคเกษตรส่วนใหญ่มีราคาที่สูงขึ้น 3. อัตราการจ้างงานยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีโดยไม่ได้ปรับลดลงมากนัก มีการตกงานเฉพาะบัณฑิตจบใหม่ในบางสาขาเนื่องจากแรงงานขณะที่ไทยขาดแคลนแรงงานฝีมือระดับการผลิต

TUCCวอลุ่มกระฉูดอันดับหนึ่ง

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นของบริษัท TUCC ปรับตัวลดลงมาอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2551 ที่ราคา 11.50 บาทต่อหุ้นและค่อยๆปรับตัวลดลงมาแรงจนติดฟลอร์ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2551จนถึงวานนี้ราคาหุ้นปิดที่ 3.10 บาท ลดลง 1.32 บาท หรือลดลง 29.86 % มูลค่าการซื้อขาย 2,002.83 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าการซื้อขายสูงสุดของในวานนี้

นายทรงชัย ลีละวินิจกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยยูนีคคอยล์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TUCC กล่าวว่า การที่ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ติดฟลอร์ 3 วันติดนั้นบริษัทยืนยันว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทไม่ได้มีการขายหุ้นออกมาอย่างแน่นอน เพราะ หากมีการดำเนินการดังกล่าวก็ไม่ได้เกิดผลดีต่อบริษัท เมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลง ดังนั้นจึงไม่เป็นเหตุผลที่บริษัทจะต้องมีการดำเนินการดังกล่าว

ทั้งนี้ จากการที่ราคาหุ้นของบริษัทมีการปรับตัวลดลงต่อเนื่องนั้น โดยบริษัทก็เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลในช่วง 3 วันที่ผ่านมา และมีความเป็นห่วงนักลงทุนรายย่อยว่าจะได้รับผลกระทบและราคาหุ้นของบริษัทที่ปรับตัวลดลงทุกวัน บริษัทได้มีการหารือกับทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)เพื่อที่จะขอพักการซื้อขายหุ้นของบริษัท แต่ไม่สามารถทำได้เพราะ บริษัทอยู่ระหว่างการเปิดให้นักลงทุนมีการเปิดจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนไปแล้วจึงจะต้องให้การดำเนินการดังกล่าวให้เสร็จซึ่งในวานนี้ 12 พ.ค.เป็นวันสุดท้ายที่เปิดให้มีการจองซื้อหุ้น

"จากราคาหุ้นของบริษัทที่ปรับตัวลดลงมาทุกวันนั้น เราก็เป็นห่วงนักลงทุนรายย่อย ซึ่งทางบริษัทเองก็เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว แต่ไม่ทราบว่าการที่ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวลดลงมากเกิดจากนักลงทุนกลุ่มไหน เพราะในตลาดทุนมีนักลงทุนอยู่หลายกลุ่ม แต่ทางบริษัทไม่สามารถจะดำเนินการอย่างไรได้ เพราะขนาดจะขอแขวนหุ้นตัวเองยังไม่สามารถทำได้" นายทรงชัย กล่าว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us