|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
2บริษัทลูกแบงก์รวงข้าว จับมือให้บริการK-Stock 2 Fund ซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านกองทุนรวม ชูจุดเด่นเพิ่มผลตอบแทนทุกนาทีให้กับลูกค้า คาดจะมีผู้ใช้บริการถึง 23,00 บัญชีได้ไตรมาส 3 ของปีนี้ “วิวรรณ”ระบุบริการนี้จะสร้างประโยชน์ให้นักลงทุนมากกว่านำเงินไปพักในบัญชีออมทรัพย์ เนื่องจากกองทุนจะนำเงินไปลงทุนต่อในโปรดักต์ที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากแบงก์
นางสาว ณัฐรินทร์ ตาลทอง กรรมบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทางบริษัทได้ทำความร่วมมือกับ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด ในการให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์อัตโนมัติผ่านกองทุนกสิกรไทย หรือ K-Stock 2 Fund
สำหรับบริการนี้จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนของเงินลงทุนให้กับลูกค้าของบริษัท โดยเงินที่ได้จากการขายหลักทรัพย์จะถูกนำไปลงทุนอัตโนมัติในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำและมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร
นอกจากนี้เมื่อมีการซื้อหลักทรัพย์บริษัทจะทำการขายกองทุนเพื่อมาชำระค่าซื้อหลักทรัพย์โดยอัตโนมัติ ซึ่งผลตอบแทนที่ลูกค้าได้รับก็ไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย โดยบริการนี้จึงถือเป็นการสร้าง Value Added ในการเพิ่มผลตอบแทนให้กับลูกค้า เพราะการขายหลักทรัพย์แล้วนำเงินไปเข้ากองทุนก็จะเป็นแบบอัตโนมัติ
“ลูกค้าจะได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นระหว่างที่รอการซื้อหลักทรัพย์ ซึ่งผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน ของกองทุนอยู่ที่ 2.65% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ที่ 0.75% และนอกจากนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนเพิ่มแล้ว การให้บริการนี้ ลูกค้ายังสามารถเปลี่ยนแปลงคำสั่งการทำรายการโดยให้นำเงินค่าขายหลักทรัพย์แต่ละรายการไปเข้าบัญชีออมทรัพย์ปกติได้อีกด้วย “นางสาวณัฐรินทร์กล่าว
นางสาว ณัฐรินทร์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีลูกค้าแสดงความต้องการใช้บริการแล้วถึง 40 บัญชี และคาดว่าในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้น่าจะมีผู้ใช้บริการได้ถึง 2,300 บัญชี ส่วนนักลงทุนหรือลูกค้าใหม่ของบริษัทจะมีการแนะนำให้ใช้บริการนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะทำให้นักลงทุนได้ประโยชน์ตลอดเวลาที่ลงทุน เพราะเงินที่ได้จากการขายหลักทรัพย์ซึ่งนำเข้ามอยู่ในกองทุนนั้นจะคิดผลตอบแทนให้ทุกวัน
ทั้งนี้ บริการซื้อขายหลักทรัพย์อัตโนมัติผ่านกองทุนกสิกรไทย หรือ K-Stock 2 Fund จะให้บริการกับนักลงทุนโดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการสมัครและการใช้บริการแต่อย่างใด ทั้งยังสะดวกสบายและมีความคล่องตัวสอดคล้องกับแนวคิดชีวิตเอกเขนกของเครือธนาคารกสิกรไทย โดยบริษัทยังคงยึดหลักการทำธุรกิจอย่างแตกต่างบนมาตรฐานเครือธนาคารกสิกรไทยในทุกๆ โปรดักต์
อย่างไรก็ตาม การให้บริการเชื่อมโยงกับกองทุนคงจะใช้กับแค่บริษัทในเครือ ธนาคารกสิกรไทยก่อน เนื่องจากเป็นนโยบายที่ต้องการสร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้าในเครือ
นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด กล่าวถึง การร่วมมือกับบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทยในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งนักลงทุนจะได้รับประโยชน์จากบริการนี้เป็นอย่างมาก และจะได้ผลตอบแทนมากกว่าในการพักเงินลงทุนในบัญชีออมทรัพย์
สำหรับกองทุนเปิดเค ตราสารรัฐระยะสั้น (K-Treasury) ที่บริษัทนำมาพักเงินจากการขายหลักทรัพย์ของนักลงทุน จะเป็นกองทุนที่มีสภาพคล่องสูง และมีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากลงทุนในตั๋วเงินคลัง และพันธบัตรรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจถึงร้อยละ 95.79 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน
โดยกองทุนนี้มีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 2.65% และ6 เดือนย้อนหลังอยู่ที่ 2.73% ส่วน 1 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 2.70% ขณะที่ผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ประมาณ 9.97% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่อ้างอิงจากผลตอบแทนเงินฝากประจำ 1 ปี นอกจากนี้กองทุนยังไม่เสียค่าธรรมเนียมขาเข้า และขาออกอีกด้วย
“กองทุนนี้มีสภาพคล่องสูงคือระยะเวลาไถ่ถอนหน่วยลงทุนจะเป็น T+1 และก็มีความเสี่ยงต่ำมาก เพราะลงทุนในตราสารภาครัฐ ซึ่งถ้ารัฐเก็บภาษีไม่ได้ถึงจะไม่มีเงินจ่าย แต่ตามสมมุติฐานแล้วในความจริงรัฐต้องเก็บภาษีได้อยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นทำให้จะได้รับผลตอบแทนเพิ่มมากขึ้นด้วยจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น”นางวิวรรณกล่าว
นางวิวรรณ กล่าวอีกว่า กองทุน K-Treasury ในปัจจุบันถือว่าได้รับความนิยมจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก โดยล่าสุดมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ สูงถึง 75,017.72 ล้านบาท และคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกจาการให้บริการส่วนนี้
อย่างไรก็ตาม หากมูลค่าสินทรัพย์สุทธิมีขนาดเพิ่มมากขึ้นถึง 1 แสนล้านบาท ทางบริษัทอาจจะไม่ขยายกองทุนเพิ่มเติม เนื่องจากมองว่า กองทุนที่มีขนาดใหญ่มากเกินไปจะทำให้บริหารจัดการได้ไม่ดี ซึ่งอาจจะมีการตั้งกองทุนใหม่เพื่อรองรับบริการนี้ หรือจะใช้กองทุนมันนี่มาร์เก็ต อย่าง K-Money ซึ่งมีผลตอบแทนใกล้เคียงกันเป็นตัวเลือกแทน
“คิดว่าหากมีบริการนี้ขนาดกองทุนคงเพิ่มขึ้น แต่ถ้าถึง 1 แสนล้านคงจะไม่ขยายเพิ่มแล้ว เพราะมันจะดูแลลำบาก และคงต้องหากองอื่นเข้ามาแทน ซึ่งเรามีกอง K-Money ที่มีผลตอบแทนใกล้เคียงกัน แตกต่างกันเพียงว่าจะลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนด้วย แต่ก็เป็นส่วนน้อย อีกทั้งเรตติ้งที่ลงจะมีอยู่ในระดับสูงอีกด้วย”นางวิวรรณกล่าว
|
|
|
|
|