แง้มกระเป๋าธุรกิจประกันชีวิตไตรมาสแรก นับเม็ดเงินขยายตัวเพิ่มขึ้น 13.69% มีเบี้ยประกันชีวิตรับรวมทั้งสิ้นเป็นจำนวน 51,201.2 ล้านบาท ขณะที่ เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ อยู่ที่ 14,704.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.75% สวนทิศเศรษฐกิจชะลอตัว เหตุผลปัจจัยหลักมากจากธุรกิจประกันชีวิตโดยรวมได้ปรับโฉมเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ โดยเน้นกิจกรรมเพื่อสังคมมากขึ้น รวมถึงกิจกรรมทางการตลาดที่ดึงดูดใจลูกค้าและ การพัฒนาสินค้าใหม่ๆให้ตรงกับความต้องการ
ทุกวันนี้อัตราการแข่งขันในธุรกิจประกันชีวิตยังคงแข็งขันกันสูง แม้ภาวะเศรษฐกิจจะไม่เอื้อก็ตาม แต่ผลประกอบการโดยรวมโดยเฉพาะในไตรมาสแรก ภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปี 50 นับว่าการแข่งขันที่รุนแรงทำให้บริษัทประกันชีวิตหลายแห่งเร่งปรับตัวใหม่ โดยเฉพาะบริษัทที่แบรนด์ยังไม่ติดตลาดและรู้จักในวงกว้าง
สาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ เมืองไทยประกันชีวิต บอกว่า ผลประกอบการในส่วนของบริษัทที่ดีขึ้นนั้นมาจากหลายปัจจัยประกอบกัน ซึ่งแต่ละส่วนล้วนมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน อย่างช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย ทั้งจากตัวแทนขาย แบงก์แอสชัวรันส์ ไดเรคมาร์เก็ตติ้ง เป็นต้น ซึ่งความหลากหลายในช่องทางจำหน่ายทำให้สามารถเจาะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ตามที่ต้องการ
นอกจากนี้ สินค้าที่หลากหลาย และมีการพัฒนารูปแบบให้ตรงกับความต้องการอยู่เสมอก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลูกค้าให้ความสนใจ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสินค้าที่ออกมาสู่ตลาดถ้าพูดถึงความแตกต่างอาจมีไม่มาก ดังนั้นอีกกลยุทธ์ที่จะสามารถดึงความสนใจของลูกค้าได้คือ กลยุทธ์ทางการตลาดในส่วนของกิจกรรมลูกค้าสัมพันธ์ การเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่เหนือกว่า ซึ่งในส่วนนี้นอกจากเป็นสีสันที่สร้างความต่างให้กับบริษัท ยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกทำประกันชีวิตกับบริษัทนั้นๆด้วย
กิจกรรมลูกค้าสัมพันธ์ ในภาพรวมของธุรกิจนับว่าทุกบริษัทให้ความสำคัญ แต่สีสันและความหวือหวาในตัวกิจกรรมนั้น ต้องยอมรับว่าเมืองไทยประกันชีวิตเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่โดดเด่นในด้านนี้ โดยเฉพาะ ลูกค้าที่สมัครบัตรสมาชิกเมืองไทย Smile Club จะได้รับสิทธิพิเศษก่อนด้วยแนวคิด “บัตรแห่งความสุขที่แท้จริงของคนหัวคิดทันสมัย”
สาระ บอกว่า นอกเหนือจากนี้ ในเรื่องของกิจกรรมเพื่อสังคมก็เป็นส่วนสำคัญในการสร้างภาพลัษณ์ที่ดีให้แก่บริษัท แต่มากกว่านั้นคือ บริษัทได้มีโอกาสที่จะอธิบายและทำความเข้าใจว่าประกันชีวิตคืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร ดังนั้นกิจกรรมทางสังคมจึงเป็นเรื่องสำคัญที่นอกเหนือจากการช่วยเหลือสังคม กรสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจประกันชีวิตโดยรวมด้วย
ทั้งนี้ เมืองไทยประกันชีวิต เปิดเผยตัวเลขผลประกอบการไตรมาสแรก มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 1,495 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปี 50 ที่มีเบี้ยปีแรกอยู่ที่ 1,158 ล้านบาท ขยายตัว 29% ขณะที่เบี้ยประกันภัยต่ออายุ อยู่ที่ 2,335 ล้านบาท ขยายตัวจากปี 50 ไตรมาสเดียวกัน ซึ่งผลิตเบี้ยได้ 1,719 ล้านบาท ขยายตัว 36% ทำให้เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 3,380 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบจากปี 50 ไตรมาสเดียวกัน ที่ 2,877 ล้านบาท เพิ่มขึ้น33%
ขณะที่ “ไทยประกันชีวิต” เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาสแรก ว่า สามารถผลิตเบี้ยประกันรับที่เกิดจากธุรกิจใหม่ได้ 1,666 ล้านบาท โดยเป็นเบี้ยประกันรับปีแรก (คำนวณเบี้ยประกันชำระครั้งเดียวตามสัดส่วน) 1,350 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 12% เบี้ยประกันรับปีต่อไป 5,330 ล้านบาท เติบโต 8% เบี้ยประกันรับรวม 7,115 ล้านบาท เติบโต 9%
ทั้งนี้ บุคลากรฝ่ายขายของบริษัทฯ สามารถผลิตกรมธรรม์ใหม่ได้ทั้งสิ้น 130,897 กรมธรรม์ แบ่งเป็นสายการตลาดนครหลวง 21,437 กรมธรรม์ สายการตลาดภูมิภาค 109,460 กรมธรรม์ ขณะเดียวกันบุคลากรฝ่ายขายทุกระดับสามารถผลิตเบี้ยปีแรกต่อเดือนได้สูงกว่าประสิทธิภาพการผลิตเบี้ยประกันรับปีแรกต่อเดือนของปี 2550
โดยผลประกอบการของบริษัทฯ ที่ขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากบริษัทฯ ออกภาพยนตร์โฆษณา นำเสนอบริการไทยประกันชีวิตฮอตไลน์ ซึ่งเป็นบริการฉุกเฉินทางการแพทย์และเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง ถือเป็นบริการที่แตกต่างจากบริษัทประกันชีวิตอื่น ตามวิสัยทัศน์การเป็นมากกว่าการประกันชีวิต ซึ่งกลายเป็นจุดแข็งที่สำคัญเอื้อให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกไทยประกันชีวิตในการดูแลชีวิต รวมถึงการออกแบบกรมธรรม์สนองความต้องการของลูกค้า อาทิ กรมธรรม์คุ้มทวี สำหรับกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อย โดยเป็นกรมธรรม์แบบชำระเบี้ยรายเดือน กรมธรรม์ธนรักษ์ SET50 สำหรับผู้มีเงินออม และต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนคุ้มค่า
ส่วน “ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ ประกันชีวิต” ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกปีนี้ (มกราคม-มีนาคม 2551) มีเบี้ยรับรวมทั้งสิ้น 3,828 ล้าน บาท เติบโตเพิ่มขึ้น 19% ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดด้านเบี้ยรับรวมของบริษัทขยับขึ้นสู่อันดับ 3 ในธุรกิจ มีเบี้ยปีแรกจากทุกช่องทางการขายทั้งสิ้น 1,805 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 25.19% โดยสายงานตัวแทน มีการเติบโตสูงสุด ทำเบี้ยปีแรกได้ 204 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 60% และคิดเป็นสัดส่วน 11.3% ของเบี้ยปีแรกทั้งหมดของบริษัท ขณะที่สายงานแบงก์แอสชัวรันส์ มีเบี้ยปีแรกสูงที่สุด 1,469 ล้านบาท หรือคิดเป็น 81.38% และสายงานประกันชีวิตธุรกิจเฉพาะ มีเบี้ยปีแรก 132 ล้าน บาท คิดเป็นสัดส่วน 11.3% ส่วนการสร้างตัวแทนใหม่ (New Code) ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างได้เกือบ 900 คน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมากว่า 163% คิดเป็นสัดส่วน 30% ของเป้าหมายรวมทั้งปีที่จะเพิ่มตัวแทนใหม่อีก 3,000 คน
ด้าน “แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย)” เปิดเผยถึงผลประกอบการว่า ยอดเบี้ยประกันสูงกว่าไตรมาสเดียวกันเมื่อเทียบกับปีก่อนถึง 88%เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนตัวแทนที่มีสัญญาจาก 350 คนเป็น 530 คน และมีการเปิดช่องทางการจำหน่ายใหม่โดยใช้เทเลมาร์เก็ตติ้งรวมทั้งการนำโปรแกรมการฝึกอบรมตัวแทนเต็มเวลา SMT (Sales Management Training ) มาใช้ ซึ่งมีผลเป็นที่น่าพอใจ ส่วนสินทรัพย์ภายใต้การบริหารสิ้นสุดไตรมาส 1 ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นถึง 150 %เมื่อเทียบกับปี 2550
สำหรับทั้งภาคธุรกิจอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันชีวิตรวมของธุรกิจประกันชีวิตในไตรมาสแรกปี 2551 คือ ตั้งแต่ 1 ม.ค.-31 มี.ค.2551 มีอัตราที่น่าพึงพอใจ เนื่องจาก อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น 13.69% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีเบี้ยประกันชีวิตรับรวมทั้งสิ้นเป็นจำนวน 51,201.2 ล้านบาท เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ จำนวน 14,704.8 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราการเติบโตในระยะเดียวกันเพิ่มขึ้น 13.75% รวมกับเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไปจำนวน 36,496.4 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 13.68% ขณะที่อัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ประกันชีวิตในปีต่อไปอยู่ในระดับที่ดีและคงที่ 85% เบี้ยประกันภัยรับรวมในไตรมาสแรก มีทั้งสิ้น 51,201.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนในระยะเดียวกันซึ่งมี 45,032.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 6,163.1 ล้านบาท หรือเพิ่ม 13.69%
|