Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์9 มิถุนายน 2551
หุ้นค้าปลีกยังแกร่งพื้นฐานดี กำลังซื้อหนุน เติบโตต่อเนื่อง             
 


   
search resources

Investment




หุ้นค้าปลีกพื้นฐานดี ไม่ระคายพิษดัชนีรูดกราว โบรกเชียร์ซื้อ ทั้ง บิ๊กซี, โฮมโปร, ซีพีออล์ มีศักยภาพ กำลังซื้อ-กำไร-สาขา เติบโตต่อเนื่อง แม้ไตรมาส2 จะมีฝนตกเป็นอุปสรรค แต่เชื่อกำไรยังโตกว่าปีก่อน

ท่ามกลางการปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในสัปดาห์ที่ผ่านมาที่นำโดยหุ้นกลุ่มโรงกลั่น ทำให้นักลงทุนหลายรายใจหายใจคว่ำไปตามๆกัน แต่หากสังเกตดูราคาของหุ้นกลุ่มค้าปลีกแล้วจะพบว่าแทบจะได้รับผลกระทบเลย เนื่องจากพื้นฐานยังมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องเป็น Growth Stock ทั้งจากด้านยอดขายและการเปิดสาขาใหม่ ตามตัวเลขการขยายตัวเศรษฐกิจที่สูงขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในต่างจังหวัดที่ได้รับอานิสงค์จากการที่สินค้าเกษตรมีราคาสูงขึ้นส่งผลให้ประชาชนมีรายได้มากขึ้น

นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์(บล.)ยูไนเต็ด ประเมินว่า หุ้นในกลุ่มค้าปลีกมีความน่าสนใจทุกตัวโดยเฉพาะ บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (BIGC) ถือเป็น Top Picks เนื่องจากการเติบโตในปีนี้ BIGC มีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่ม 12 สาขา จากเดิมจะขยายสาขาเพิ่ม 8 สาขา ส่งผลให้กำไรในปีนี้โต 17% หรือประมาณ 2,900 ล้านบาท จึงแนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 63.79บาท

ขณะที่ปี 2552 กำไรจะโตถึง 18%ขณะที่รายได้น่าจะประมาณ 68,000 ล้านบาทหรือเติบโต 10% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยจากความสำเร็จ การทำการตลาดและสภาวะทางเศรษฐกิจที่ดูดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว ส่งผลให้ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น อย่างไรก็ตามแม้ว่าไตรมาส 2 จะเป็นช่วงโลว์ซีซั่น เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝนทำให้ผู้บริโภคออกมาจับจ่ายน้อยลง

ขณะที่ บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) ก็จัดว่ามีศักยภาพการเติบโตไม่น้อย จากการตัดขาดทุนโลตัสจีน และการขยายสาขาในประเทศ 400-450 สาขา จึงแนะนำซื้อลงทุน ราคาเป้าหมาย 13.24บาท รวมถึงการส่งเสริมทางการตลาดในการออกโปรโมชั่นต่างๆ ทำให้ร้านสะดวกซื้อโตอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามโลตัสจีนก็เริ่มฟื้น จากการควบคุมต้นทุน และผู้บริโภคมีการใช้จ่ายที่มากขึ้น ส่งผลให้มีการขาดทุนลดลง ขณะที่ปีนี้คาดว่ากำไรเติบโต 22% หรือ 1,780 ล้านบาท ส่วนรายได้เติบโต 9% หรือ 12,000 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นประมาณการที่อยู่บนสมมติฐานที่โลตัสจีนถูกขายไปในปลายปีนี้

สำหรับ บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 7 บาท จากการขยายสาขา 4 แห่งในปีนี้ ในไตรมาส 1 ขยายไปแล้ว 2 สาขา ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้รายได้ประมาณ 18,000ล้านบาท หรือเติบโต 15% และกำไรเติบโตประมาณ 800 ล้านบาท หรือ 13%

ขณะที่นักวิเคราะห์จาก บล. กิมเอ็ง มองว่า ปี 2551 ธุรกิจกลุ่มค้าปลีกน่าจะเติบโตอยู่ในระดับที่ค่อนข้างดี เนื่องจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี จากนโยบายฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจของภาครัฐบาล ซึ่งทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อเติบโตเพิ่มสูงขึ้น จึงเป็นปัจจัยเชิงบวกกับธุรกิจกลุ่มค้าปลีก และทำให้ผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1/2551 ออกมาเติบโตเพิ่มสูงขึ้น

สำหรับในปีนี้ธุรกิจกลุ่มค้าปลีกจะเติบโตจากปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ จากการขยายสาขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเติบโตเพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนถึง 4% รวมถึงมองว่าเป็นธุรกิจที่ไม่ได้รับปัจจัยเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นน่าจะช่วยทำให้ประชาชนสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งส่งผลดีโดยตรงต่อหุ้นในกลุ่มค้าปลีก

หุ้นกลุ่มค้าปลีกที่ค่อนข้างเติบโตโดดเด่น แนะนำ BIGC, HMPRO และ CPALL เนื่องจากผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1/2551 ยังเติบโตอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยเฉพาะ BIGC ซึ่งมีผลประกอบการไตรมาส 1/2551 ค่อนข้างโดดเด่น โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 767.14 ล้านบาท เติบโตเพิ่มสูงขึ้นถึง 14% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 673 ล้านบาท

เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา BIGC มีการเปิดสาขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีก 12 สาขา จากเดิมตั้งไว้ที่ 8 สาขา ส่งผลให้ BIG มีสาขารวมเพิ่มขึ้นเป็น 66 สาขา และปี 2552 มีแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 4 สาขา ซึ่งแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทในระยะยาวน่าจะเติบโตสูงขึ้นได้อย่างชัดเจน

BIGC เป็นบริษัทที่ค่อนข้างมีผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสแรกเติบโตสดใส เพราะการเร่งขยายสาขาเพิ่มขึ้นถึง 12 แห่ง บวกกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เริ่มฟื้นตัว รวมถึงกำลังซื้อของประชาชนก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องภาวะเงินเฟ้อเข้ามา แต่เชื่อว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบมากนัก เพราะที่ผ่านมาตัวเลขกำไรและรายได้ในช่วงที่ผ่านมาขยายตัวได้เป็นอย่างดี จึงเชื่อว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2551 น่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องด้วย   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us