Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กรกฎาคม 2546








 
นิตยสารผู้จัดการ กรกฎาคม 2546
Hope in a Jar             
โดย ธีรภาพ วัฒนวิจารณ์
 


   
search resources

Pharmaceuticals & Cosmetics




ประโยคนี้เป็นถ้อยคำที่ชาร์ล เรฟสัน สรุปถึงความหมายของผลิตภัณฑ์ที่เขาขายให้กับสาวๆ ในสหรัฐอเมริกา คุณผู้อ่านอาจจะยังนึกไม่ออกว่าผลิตภัณฑ์นั้นคืออะไร แต่หากผมบอกว่านายเรฟสันผู้นี้คือ ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องสำอางที่มีชื่อว่าเรฟลอน ท่านทั้งหลายคงถึงบางอ้อว่าผลิตภัณฑ์ที่ว่านี้คืออะไร

บทความในดิอิโคโนมิสต์ฉบับปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีรายงานพิเศษเกี่ยวกับธุรกิจความสวยงามว่าเป็นธุรกิจที่น่าจับตามองเพียงใด หากพิจารณาถึงธุรกิจทั้งหมด ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ เฮลท์คลับ ไปจนถึงศัลยกรรมความงามทั้งหลาย เราจะพบว่ามูลค่าโดยรวมของธุรกิจกลุ่มนี้อยู่ที่ 160 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตัวเลขที่อาจจะมากกว่างบประมาณของประเทศหลายประเทศ

ว่าไปแล้วหากมองย้อนกลับไปในอดีตเราจะพบว่า เรื่องของความรักสวยรักงามเป็นสิ่งที่มีมาแต่โบราณ ในอดีตเราพบว่าหญิงสูงศักดิ์ในยุคกลาง (Medieval) รับประทานสารหนูและเลือดของค้างคาวเพื่อความเยาว์วัย ในขณะที่ในศตวรรษที่สิบแปด ปัสสาวะใหม่สดของเด็กหนุ่มกลายเป็นของที่มีราคา เพราะหญิงชาวอเมริกันใช้มันเป็นส่วนผสมในการกำจัดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า หรือแม้กระทั่งในยุควิคตอเรียน หญิงสาวต่างยอมเจ็บตัวด้วยการตัดซี่โครงบางส่วนออก เพื่อให้ตนเองมีเอวที่คอดกิ่วเหมือนมดตะนอย ในขณะที่การเปิดเผยอวัยวะส่วนที่เหนือข้อเท้าขึ้นไปถือว่าเป็นสิ่งรัญจวนใจแก่ชายที่พบเห็น

ตำรับสำหรับเสริมความงามเป็นสิ่งที่มีประจำในแต่ละครอบครัว ในยุโรปแต่ละครอบครัวจะมีสูตรลับของตนเองในการประทินโฉมของหญิงสาว สิ่งเหล่านี้มากลายเป็นธุรกิจทำเงิน ก็ในศตวรรษที่ผ่านมาที่ทุกอย่างในระบบทุนนิยมสามารถกลายเป็นสินค้าได้ ไม่ว่าจะเป็นแรงงานหรือภาพพจน์และความงาม

ในช่วงเริ่มต้นของศตวรรษที่ 20 ยูยีน ชูลเลอร์ ก่อตั้งบริษัทเปลี่ยนสีผมขึ้นในฝรั่งเศส ซึ่งกลายมาเป็น L'Oreal ในปัจจุบัน อีกสองปีต่อมาจึงมีการกำเนิด ขึ้นของผลิตภัณฑ์นีเวียที่เรารู้จักกันดีโดย Beiersdorf ในเยอรมัน ช่วงเวลาเดียว กันก็มีการเกิดขึ้นของสินค้าประเภทโลชั่นบำรุงผิวในญี่ปุ่นและกลายมาเป็นชิเชโดในปัจจุบัน

หลังจากนั้นหลายแบรนด์เนมที่เรารู้จักกันดี ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็น Rubinstein, Arden, Max Factor และ Revlon ต่างกระโดดเข้าสู่ธุรกิจนี้ และปัจจุบันสินค้ากลุ่มฟุ่มเฟือยต่างก็หันมาจับตลาดนี้มากขึ้น แม้แต่ในตลาดกลางจนถึงตลาดล่าง อุตสาหกรรมนี้ก็ไปได้ดีเช่นกัน เราสามารถเห็นสินค้าประเภทครีมนวดผม หรือโลชั่นถนอมผิว โดยบริษัทอย่างพรอคเตอร์แอนด์ แกมเบิล หรือในบ้านเราเองตลาดล่างที่เรารู้จักกันดีก็คงจะเป็นครีมแก้สิวฝ้าประเภทตลับละสิบบาท ที่บรรดาสาวโรงงานนิยมใช้กัน ในขณะที่บรรดาวัยรุ่นหรือชนชั้นกลางใช้ครีมประเภทเดียวกันในระดับราคาเรือนร้อย

ข้อมูลจากโกลด์แมน แซคส์ ประมาณว่าธุรกิจความสวยงาม นี้ (Beauty business) หากพิจารณาเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภท เครื่องสำอาง มูลค่าทั้งหมดทั่วโลกอยู่ที่ 95 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อพิจารณาตามมูลค่าผลิตภัณฑ์จะพบว่า เซกเตอร์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบำรุงดูแลรักษาเส้นผมสูงสุดคือ 38 พันล้านดอลลาร์ และรองลงมาคือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง คือ 24 พันล้านดอลลาร์ และธุรกิจกลุ่มนี้กำลังเติบโตด้วยอัตราร้อยละ 7 ต่อปี นั่นคืออัตราการเติบโตของธุรกิจกลุ่มนี้เป็น 2 เท่าของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้ว

นั่นบ่งถึงการแข่งขันที่สูงในธุรกิจนี้ ทำให้แนวโน้มต่อไปของบริษัทผลิตเครื่องสำอางเหล่านี้จะเน้นเข้าหาผลิตภัณฑ์ประเภท cosmaceutical คือมีส่วนผสมระหว่างเครื่องสำอางและยา เช่นชิเชโดอ้างว่าผลิตภัณฑ์เจลตัวใหม่ของตน ซึ่งมีส่วนผสมของพริกไทยและน้ำมันจากเกรฟฟรุต สามารถละลายไขมันจากผิวหนัง 1.1 กิโลกรัม ในการใช้เป็นเวลาหนึ่งเดือน หลังจากผลิตภัณฑ์ออก วางตลาดเมื่อปีที่แล้วประมาณว่า ทุก 3.7 วินาทีจะมีลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์นี้หนึ่งราย

สิ่งที่น่าตกใจคือ ในขณะที่อุตสาหกรรมทางด้านยาใช้งบประมาณ 15% ในการทำการวิจัยสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในธุรกิจ กลุ่มนี้งบประมาณเพียง 2-3% ของยอดขายถูกใช้ไปกับงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ในขณะที่งบประมาณสูงถึง 20-25% ถูกใช้ไปกับการโฆษณาดังที่เราเห็นกันอยู่

ดิอิโคโนมิสต์สรุปว่า การเติบโตที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วของธุรกิจในกลุ่มนี้ มีปัจจัยสำคัญมาจากอุปสงค์ที่เกิดขึ้นในกลุ่มของผู้มีรายได้สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เกิดในยุคเบบี้บูมในตะวันตก ในส่วนตะวันออกเองการเกิดขึ้นของกลุ่มชนชั้นเศรษฐีใหม่ และการขยายตัวและเพิ่มจำนวนของชนชั้นกลางเป็นรากฐานที่สำคัญของการเติบโตในธุรกิจนี้ จีน รัสเซีย และเกาหลีใต้ เป็นตลาดที่กำลังโตอย่างมาก แม้แต่ในประเทศที่เศรษฐกิจมีปัญหาอย่างบราซิล จำนวนสาวเอวอนกว่าเก้าแสนคนนั้นมากกว่าจำนวนชายและหญิง ในกองทัพบราซิล

แต่การเพิ่มจำนวนของอุปสงค์คงไม่ใช่คำตอบ คำถามควร จะเป็นว่า ทำไมกลุ่มคนเหล่านี้จึงมีอุปสงค์เกี่ยวกับเรื่องความสวยงาม

บางคนเปรียบเปรยว่าความรักสวยรักงามของคนเรานั้นเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมของมนุษยชาติ นั่นคือทุกคนหากไม่สวย ก็ขอให้ได้สิ่งที่สวยงาม มีการศึกษาวิจัยในเด็กอายุสามเดือนพบว่า เด็กจะยิ้มให้กับใบหน้าที่ผู้ใหญ่เห็นว่าเป็นใบหน้าที่มีเสน่ห์ บางทีสิ่งนี้อาจจะอยู่ในยีนส์ของคนเราก็เป็นได้

ในส่วนของปัจจัยส่วนบุคคลนั้น การรักสวยรักงามเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ การศึกษาของ เดวิด บัสส์ พบว่า ในการสอบถามจากบุคคลจำนวนหนึ่งหมื่นคน จากวัฒนธรรมที่ต่างกัน 37 กลุ่ม เขาพบว่าปัจจัยสำคัญในการเลือก คู่ครองของฝ่ายชายถูกกำหนดจากรูปร่างหน้าตาของฝ่ายหญิงว่ามีเสน่ห์เพียงใด ปัจจัยนี้เป็นคำตอบที่ได้จากชายทุกคนในการศึกษานี้ พูดง่ายๆ คือรูปร่างหน้าตาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

แต่นั่นอาจจะเป็นเพียงมุมมองในแง่ของการสืบเผ่าพันธุ์ของยีนส์กลุ่มนี้ แต่หากลองศึกษาในเชิงวัฒนธรรมข้อมูลที่อาจจะทำให้ เราตกใจกันก็คือ ความสวยงามกลายเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความลำเอียง หรือการถือปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมกัน

การศึกษาในกลุ่มคนทำงานพบว่าคนที่ "ดูดี" มักจะได้ งานดีกว่า เงินเดือนสูงกว่า และการปฏิบัติจากคนรอบข้างที่ดีกว่า แม้กระทั่งในกรณีของรถยนต์ที่มีปัญหายางแตก หญิงสาวที่สวยกว่าจะได้รับการช่วยเหลือก่อน ความสวยงามหรือมีเสน่ห์ทำให้คนกลุ่มนี้มีความมั่นใจในตนเองสูงกว่า ดังนั้นคนกลุ่มนี้มักจะเชื่อมั่นว่าตนเองควรได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าคนอื่น อีกทั้งคนกลุ่มนี้มักจะมีความอดทนในการรอคอยน้อยกว่า

ตัวอย่างที่ชัดเจนในบ้านเราเห็นจะเป็นเรื่องของนักเรียนที่สอบติดคณะพยาบาลศาสตร์แห่งหนึ่งแล้ว ในตอนแรกถูกปฏิเสธการรับเข้าเป็นนักศึกษาด้วยเหตุผลว่า ความอ้วนของเธอจะเป็นอุปสรรคต่อความคล่องตัวในการช่วยเหลือผู้ป่วยในภาวะวิกฤติ แต่ก็มีเสียงกระซิบตามมาว่าแล้วบรรดาฟลอเรนซ์ ไนติงเกลที่บินไม่ขึ้นทั้งหลายจะปลดระวางดีหรือไม่

แม้กระทั่งในกระบวนการกฎหมายที่เราเชื่อกันว่าไม่ลำเอียงนั้น การศึกษาในออสโลพบว่า นักศึกษาจะตัดสินลงโทษผู้กระทำผิดที่ "ดูดี" ด้วยโทษที่เบากว่านักโทษคนอื่นในคดีแบบเดียวกัน 20%

นั่นคือเรื่องความสวยงามเป็นเรื่องที่มนุษย์เราสามารถทำความรู้จักกันได้ในระยะไกล คือเห็นด้วยสายตา เมื่อเข้าใกล้มากขึ้นก็เป็นเรื่องของกลิ่นตัว สัมผัส และสุดท้ายคือการพูดคุย เพื่อรู้จักความคิดเห็นและนิสัยใจคอ นั่นคือรูปลักษณ์ภายนอก เป็นด่านแรกที่จะทำให้คนอื่นประทับใจเราหรือไม่

แม้ภาษิตที่เรารู้จักกันดีจะย้ำเตือนอยู่เสมอว่า "Don't judge the book by the cover" หรือคำกลอนของเราเองก็บอกว่า "ดำแต่นอกในแผ้ว ผ่องเนื้อนพคุณ" แต่แน่นอนว่ารูปลักษณ์ภายนอกต้องสำคัญ หากเราคิดว่าคนแต่ละคนเปรียบเสมือนสินค้า สิ่งห่อหุ้มภายนอก หรือรูปลักษณ์ที่เห็นได้ชัดเจน จึงเป็นตัวตัดสินเบื้องต้นว่าลูกค้าจะแลหรือหยิบสินค้าหรือไม่ แต่ในระยะยาวแล้วแน่นอนว่าคุณภาพของสินค้าเป็นตัวชี้ขาด

แนนซี่ เอดคอฟ นักจิตวิทยาสรุปไว้ในหนังสือ "การอยู่รอดของผู้สวยที่สุด" ว่า สำหรับผู้หญิงแล้ว ความสวยของเธอเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด (ที่สามารถแลกเปลี่ยนได้) เธออาจใช้มันเพื่อเลื่อนสถานะทางสังคม แลกเปลี่ยนเงินตรา หรือ แม้กระทั่งความรัก แต่ความสวยงามเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตามอายุขัย ดังนั้นมันเป็นทรัพย์สินที่ว่าไปแล้วมีการเสื่อมค่าได้ นี่อาจจะเป็นข้อสรุปที่ใช้ได้ดีสำหรับทั้งหญิงและชาย และเหตุผลว่าทำไมธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับความสวยงามจะยังคงเติบโตไปเรื่อยๆ

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us