Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กรกฎาคม 2546








 
นิตยสารผู้จัดการ กรกฎาคม 2546
ชีพจรลงเท้า จากมิลานถึง Monte Catini             
โดย ธีรัส บุญ-หลง
 





ผมมาถึงมิลาน ได้ 2 สัปดาห์กว่าแล้ว อากาศอบอ้าวเหลือเกิน อาจจะด้วยเหตุผลที่ว่า มิลานนั้นเป็นเมือง Industrail (อุตสาหกรรม) บรรจบกันเป็นฤดูร้อนของอิตาลีพอดี อากาศนั้น แห้งมากครับ ไม่เหมือนกับเมืองไทยที่ Humid (ชื้น) จึงต้องดื่มน้ำตลอดเวลา ไอศกรีมก็เป็นของขายดีสำหรับคนที่นี่

อันที่จริงตอนแรกที่ทุกคนได้ข่าวว่าผมมามิลาน เพื่อที่จะมาทำวิจัยทางด้าน Nondestractive testing ของ historical buildings (เป็นการวิจัยการทดสอบโครงสร้างและความแข็งแรงของตึกวัดวาอารามเก่าๆ โดยที่ไม่ไปทำลายโครงสร้าง โดยใช้เทคนิคของคลื่นเสียง และเรดาร์ เพื่อที่จะช่วยในการปรับปรุงและซ่อมแซมให้แข็งแรง) กับมหาวิทยาลัย Politecnical de Milano ก็อดที่จะอิจฉาไม่ได้ที่ได้มาเมืองแฟชั่นอย่างนี้ แต่ในความเป็นจริงนั้น การมาเที่ยวกับการมาอยู่ไม่เหมือนกัน (ถึงจะได้ประสบการณ์ที่น่าสนใจก็เถอะ)

ค่าครองชีพที่อิตาลีนั้น สูงขึ้นกว่าคราวที่ผมมาครั้งที่แล้วมาก สันนิษฐานว่า อาจจะเป็นที่การเปลี่ยนค่าเงินลีร์มาเป็นเงินยูโร ตามธรรมชาตินั้น คนอิตาลี เคยชินกับหลักแสนหลักล้านของเงินลีร์ พอมาเปลี่ยนเป็นยูโร นอกจากต้องทำให้มาตรฐานเงิน ค่าครองชีพต่างๆ ใกล้ประเทศทางยุโรปอื่นๆ ก็ยังอาจจะรับไม่ได้กับการที่จะต้องขายของในหลักสิบหลักร้อย เพราะยังไม่เคยชินกับตัวเลขน้อยๆ

ผมมีโอกาสมาอยู่ที่หอพัก นักเรียนต่างชาติซึ่งส่วนมากเป็นนักเรียน Erasmas Program (นักเรียนแลกเปลี่ยนของทวีปยุโรป) หลังจากที่ผมหาอยู่มาประมาณ 1 สัปดาห์ที่อยู่นั้น หายากมากในมิลาน ยิ่งในช่วงประมาณเดือนเมษายน ซึ่งเป็นไฮซีซั่นด้วยแล้ว

ในความคิดเห็นของผม คนอิตาลีนั้น มีนิสัยค่อนข้างคล้ายคนไทยมาก คือ ค่อนข้างจะทำอะไรตามใจ เป็นคนง่ายๆ สบายๆ นัดเก้าโมง หมายความว่า 11 โมง แต่บทจะทำงาน ก็ทำหนักนะครับ โปรเฟสเซอร์ผมบางวันสั่งให้ทำงานวิจัยถึง 2 ทุ่ม แต่พอวันนึงก็บอกว่า คนทั้งแล็บเหนื่อยมากพอแล้ว ให้หยุด 5 วัน จะไปไหนก็ได้ ส่วนตัวโปรเฟสเซอร์จะไปเที่ยวซิซิลี พอมาพูดกับเพื่อนชาวอังกฤษที่หอ ซึ่งได้มาทำงานบริษัทเฟอร์นิเจอร์ ดีไซน์ที่นี่ ก็พูดเหมือนกัน คือที่นี่เค้าเป็นคนสบายๆ มีความเป็นศิลปินสูง ว่างๆ ก็เอากีตาร์มานั่งเล่นกลางสวนสาธารณะ เล่นฟุตบอล กินไอติม และนอนกลางวันเป็นกิจวัตร จริงๆ แล้ว เขาก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดี และด้วยการที่เป็นคนมีจินตนาการ เป็นศิลปิน และรื่นเริงตลอดเวลา ทำให้เขาสามารถคิดสร้างสรรค์แฟชั่น รูปภาพ และศิลปะต่างๆ ได้อย่างสวยงาม

บางทีการที่คนเราเคร่งเครียดและจริงจังมากเกินไป ก็จะทำให้ขาดขอบเขตของจินตนาการ ไม่แน่ บางทีบริษัทโฆษณาหลายๆ แห่งในเมืองไทย อาจจะเอาโมเดลนี้มาใช้ ทำให้คนโฆษณาทำงานไม่เป็นเวลา เดี๋ยวก็นั่งคิด นอนคิด ทำตัวสบายๆ แล้วแต่อารมณ์ ไว้ผมกลับไป ผมจะไปนั่งคิด นอนคิดเรื่องนี้ให้มากกว่านี้

ไม่ทราบว่า เป็นความบังเอิญหรืออย่างไร ครอบครัวของผมได้มาอิตาลีเป็นเวลา 3 สัปดาห์กว่าแล้ว (พวกท่านมาก่อนผม) จริงๆ แล้ว plan มาเป็นปีแล้ว คงไม่ใช่ความบังเอิญแน่เทียว ทั้งคุณย่า คุณยาย คุณพ่อ คุณแม่ และญาติๆ ได้มาดื่มน้ำแร่อมตะ ที่ MonteCatini เนื่องจากผมได้หยุด 5 วัน ดังที่กล่าวมาข้างต้น คงไม่มีอะไรดีไปกว่า มาหาประสบการณ์ใหม่ๆ กับบ่อน้ำแร่ที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปแห่งหนึ่ง ผมจึงออกเดินทางจากมิลานไปยัง MonteCatini ก่อนที่จะพูดถึงการเดินทาง

ขอวิจารณ์เกี่ยวกับการคมนาคมในมิลานหน่อยแล้วกัน คนส่วนมากเดินทางโดยรถราง ไม่ก็รถบัส รวมทั้งรถไฟใต้ดินด้วย ที่แปลกก็คือ ตั้งแต่ผมนั่งรถมาประมาณ 2 สัปดาห์ ไม่มีการตรวจตั๋วรถรางและรถบัสเลยครับ คนจำนวนครึ่งหนึ่งเท่านั้นครับที่ซื้อตั๋ว โดยเฉพาะนักเรียนยุโรป ไม่มีใครซื้อตั๋วเลย (แต่ผมซื้อ เพื่อความถูกต้อง ผมซื่อสัตย์ครับ) ที่นี่มีระบบที่ว่า ตั๋วที่ซื้อแล้วให้นำไปใส่เครื่องตรวจอัตโนมัติ ซึ่งอยู่ตรงกลางๆ ของรถเพื่อโชว์ว่า เราขึ้นแล้ว จะได้รู้ว่าบัตรใช้ กี่ครั้ง ตั๋วต้องซื้อก่อนขึ้นรถ คนส่วนมาก (ที่ซื้อ) จะใช้ตั๋วเดือนกัน และตั๋วเดือนก็เป็นตั๋วเดือนจริงๆ ไม่ว่าจะซื้อวันไหน ก็จะใช้ได้ถึงสิ้นเดือนเท่านั้น แต่ที่ผมชอบมากเลย คือการมีเลนสำหรับรถบัส และแท็กซี่ ตรงกลาง ทำให้การจราจรสะดวกขึ้น สำหรับรถไฟใต้ดินแล้ว ตั๋วที่สำคัญที่สุดคือตั๋วเข้า เพราะตอนขาออก ไม่ว่าจะออกสถานีไหนก็ตาม ออกได้หมดไม่ต้องใส่บัตรเข้าไป ปกติคนก็จะบอกว่าตั๋วมีจำกัดเวลา แต่ผมไปเวลาไหนก็เข้าได้ตลอด ไม่ว่าเช้าหรือเย็น ทุกคนแม้แต่คนอิตาเลี่ยนเองก็ซื้อโซนในแค่ 1 ยูโรเท่านั้น ส่วนวัฒนธรรมการขับรถเหมือนเมืองไทยกันมาก อาจจะยิ่งกว่าด้วยซ้ำไป ผมเคยเห็นรถบัสปีนฟุตบาทแบบจงใจมารับผู้โดยสาร รวมถึงการขี่มอเตอร์ไซต์ย้อนศรบนฟุตบาท หรือการจอดรถเก๋งบนฟุตบาทก็เห็นเรื่องปกติ

พิพิธภัณฑ์ของที่นี่ก็น่าสนใจ แต่มีหนังสือหลายๆ เล่ม เขียนถึงแล้ว ผมก็จะไม่เขียนซ้ำก็แล้วกัน คงไม่ว่ากัน ฉบับหน้า ผมจะมาเล่าเรื่องประสบการณ์การเดินทาง และการดื่มน้ำแร่ที่ไม่ธรรมดา (ไม่ธรรมดาจริงๆ) โปรดติดตามครับ

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us