แผนการเดินทางไปเปิดตลาดการค้ายังกลุ่มประเทศอาหรับของรัฐบาลไทยผุดขึ้นเป็นนโยบายของรัฐบาล
ในช่วงสงครามสหรัฐฯ ถล่มอิรักกำลังคุกรุ่น เมื่อเหตุการณ์สงครามยุติเพียงไม่กี่วันก็สั่งเดินหน้าทันที
กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการส่งออกน้อมรับแผนดังกล่าวมาลงมือปฏิบัติชนิดสายฟ้าแลบจริงๆ
เพราะใช้เวลาไม่ถึง 7 วันในการติดต่อประสานงานทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเยือนประเทศแถบตะวันออกกลางจำนวน
4 ประเทศ ได้แก่ เลบานอน เยเมน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และบาห์เรน ในระหว่างวันที่
1-8 พฤษภาคม 2546 จนกระทั่งสำเร็จผลตามที่คาดหมาย
ถือเป็นครั้งแรกของหลายๆ เหตุการณ์ที่มาบรรจบกันพอดี
เพราะจะเป็นผลงานครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของคนสองคน กล่าวคือเป็นครั้งแรกของปิยะบุตร
ชลวิจารณ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ สหธนาคาร กับตำแหน่งใหม่ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
แต่เป็นครั้งสุดท้ายกับเก้าอี้อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออกของบรรพต หงษ์ทอง
ก่อนคณะรัฐมนตรีจะอนุมัติให้ไปนั่งซี 11 กินตำแหน่งปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
การเยือนครั้งนี้มีความหมายระหว่างประเทศไม่น้อย เพราะคณะการค้าไทยที่นำโดยปิยะบุตร
ชลวิจารณ์ กับกลุ่มผู้นำส่งออกจำนวน 10 ชีวิต ประเทศไทยถือเป็นคณะแรกในการเปิดตลาดการค้ากับประเทศในแถบตะวันออกกลาง
ซึ่งสงครามสหรัฐฯ ถล่มอิรักเพิ่งสงบไม่นาน
กรุงเบรุต (Beirut) ประเทศเลบานอน คือเป้าหมายแรกของการเยือน และเป็นการเปิดตลาดการค้าครั้งแรกกับเลบานอนอย่างเป็นทางการของไทยเช่นกัน
ย่างเหยียบกรุงเบรุต หลายคนคงคิดเหมือนๆ กันถึงสงครามกลางเมืองและความไม่สงบ
ภาพเหตุการณ์นองเลือดอย่างที่สื่อตะวันตกนิยมเผยแพร่ข่าวจนจดจำติดตาคือ ภาพอาทิตย์ยามเช้าสดใสสอดส่องร้านกาแฟริมถนนย่านการค้า
มีหญิงชายจำนวนมากนั่งจิบกาแฟและอ่านหนังสือกลางแดดอันอบอุ่นอย่างมีความสุข
แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมด้วยเสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวดตามมา
แต่นั่นเป็นภาพในอดีตไปแล้ว เพราะกรุงเบรุตวันนี้ไม่ใช่อย่างที่เข้าใจ
กรุงเบรุตเจ้าของฉายาปารีสแห่งตะวันออกกำลังฉายแววให้เห็นว่าเป็นปารีสแห่งตะวันออกจริงๆ
เสียทีก็วันนี้ แววที่นักธุรกิจคนไทยเห็นก็คือ กำลังซื้ออันมหาศาลของผู้คนชาวเบรุต
ซึ่งส่วนใหญ่มักจะบอกกับตนเองว่า พวกเขาไม่ใช่ "แขกอาหรับ" เหมือนหลายๆ ประเทศที่รายล้อม
ไม่ว่าจะเป็นซีเรีย จอร์แดน หรืออียิปต์ พวกเขาคือคนตะวันตก มีวัฒนธรรมใช้ชีวิตความเป็นอยู่แบบตะวันออก
ที่สำคัญพวกเขานิยมแบรนด์เนมเอามากๆ ไม่ว่าจะเป็น CHANEL, Bvlgari, Bobbi
Brown, La Mer เป็นต้น
ย่านดาวน์ทาวน์ของเบรุต คือสถานท่องเที่ยวที่กำลังได้รับความนิยมจากชาวตะวันตก
โดยเฉพาะชาวยุโรปไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี ซึ่งอดีตนั้นเลบานอน
ถูกปกครองโดยฝรั่งเศส
ปัจจุบันมีชาวตะวันออกกลางขนเงินเข้ามาจับจ่ายใช้สอยซื้อความสุขทั้งสินค้าและบริการจากที่นี่เพิ่มขึ้น
นอกเหนือจากไปเสวยสุขที่ดูไบและอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ความงดงามแห่งสถาปัตยกรรมของเบรุตคือศิลปกรรมจากฝรั่งเศสเป็นส่วนใหญ่ แต่หลังจากเกิดสงครามกลางเมือง
ทำให้กลายเป็นซากปรักหักพัง ศิลปกรรมจึงสูญหายไปมากพอสมควร ยกเว้นแต่เขตดาวน์ทาวน์กลางกรุงเบรุต
ซึ่งรัฐบาลได้ตกแต่งและอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดั้งเดิมไว้เพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
มีร้านค้าขายของที่ระลึก ร้านกาแฟ ร้านอาหารเปิดให้บริการจำนวนมาก โดยมีการจัดนิทรรศการภาพถ่ายติดตั้งในหกทางแยก
มีทหารคอยอารักขาความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวซึ่งช่วงนั้นสงครามสหรัฐฯ ถล่มอิรักยังไม่จางเท่าไร
นอกเหนือจากนี้ยังมีร้านอาหารแถบริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทอดยาวจำนวนมาก
ซึ่งนักท่องเที่ยวมักจะทานอาหารไปพร้อมกับการอาบแดด นอกจากนี้ภาพที่เห็นกันจนชินก็คือ
การดูดยาสูบจากตะเกียงทรงยาวคล้ายตะเกียงอาละดิน หรือที่เรียกว่า "มอระกู่"
ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแถบเบรุตนับว่าสวยงามไม่แพ้ที่ไหนๆ พอตกเย็นอากาศเริ่มอุ่นอุณหภูมิช่วงที่เราไปอยู่ที่
17-20 องศาเซลเซียส เป็นช่วงที่ฤดูหนาวกำลังลาจากไป มีผู้คนเดินไปมาจำนวนมาก
โดยไม่สะทกสะท้านกับเรื่องความไม่สงบแต่อย่างใด ด้วยภูมิทัศน์ที่เป็นเนินเขาไม่สูงนักอยู่ติดริมทะเล
เมื่อมองขึ้นไปตามเนินเขาลูกเล็กๆ ที่เรียงรายซ้อนกันอันเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเบรุต
ตกกลางคืนจะเห็นแสงไฟสว่างจากบ้านแต่ละหลังสวยงามดูเหมือนงานศิลปะจากธรรมชาติเลยทีเดียว
สำหรับประเทศเลบานอนนั้นมีพื้นที่เล็กๆ เพียง 1 หมื่นตารางกิโลเมตรแทรกตัวอยู่ระหว่างอิสราเอลกับซีเรีย
มีชายฝั่งทะเลยาว 225 กม. มีพื้นที่ราบลุ่มแค่ 23% ส่วนใหญ่เป็นภูเขาและทะเลทราย
มีประชากร 3.7 ล้านคน เป็นผู้ใช้แรงงานถึง 1.5 ล้านคนเป็นแรงงานต่างชาติเสีย
1 ล้านคน เท่ากับว่าคนเลบานอนเองมีแค่ 1 ล้านคน สาเหตุเกิดจากสงครามกลางเมืองซึ่งยาวนานถึง
16 ปี (เพิ่งเลิกไปเมื่อปี 2534) ทำให้คนเลบานอนต้องยกครอบครัวไปพำนักแถบประเทศยุโรปจำนวนมาก
แต่ปัจจุบันกำลังอพยพกลับถิ่นฐานเดิมแล้ว พร้อมกับธุรกิจและเงินทองที่ตนเองไปแสวงหา
ชาวเลบานอนมีความพิเศษตรงที่สามารถพูดได้ถึง 3 ภาษา ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส
และอารบิก จึงติดต่อสื่อสารกับคนได้ทั่วโลก
ธุรกิจในเลบานอนที่กำลังเติบโตก็คือ อุตสาหกรรมโรงแรม ท่องเที่ยว ธนาคาร
และการสื่อสารคมนาคม ปัจจุบันมีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือจำนวน 5.8 แสนคน
สินค้าทุกชนิดเสียภาษีนำเข้าเพียง 3.5% ยกเว้นสินค้ากลุ่มอาหรับด้วยกันก็ไม่ต้องเสียภาษี
เมืองท่าที่เป็น Free Trade Zone ของเลบานอน มี 3 แห่งคือ ท่าเบรุต ซีลาต้า
และทริโปลี สินค้าที่นำเข้าจากไทยคืออัญมณี และเครื่องประดับ อาหารกระป๋อง
เม็ดพลาสติก ขณะที่สินค้าจากเลบานอนส่งออกได้แก่ อาหาร ยาสูบ เหล็ก และกระดาษ
เป็นต้น
ประเทศไทยยังไม่เคยมีนักธุรกิจกลุ่มใดเข้าไปสัมผัสเลบานอนอย่างจริงจังมานาน
การไปเยืยนชาติอาหรับของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งนำโดยปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ผู้ช่วย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ครั้งนี้จึงถือว่าเป็นการเปิดประตูการค้าอันยิ่งใหญ่ให้กับนักธุรกิจไทย
เพราะอนาคตคาดกันว่า เลบานอนจะถูกวางตัวเป็นศูนย์กลางเชื่อมธุรกิจการค้าระหว่างโลกอาหรับกับโลกตะวันตกอย่างน่าสนใจ...