“อีสเทอร์นฯ” เปิดตัวเอ็มดีใหม่ “รัตนชัย ผาตินาวิน” พร้อมประกาศตัวเดินหน้ารุกตลาด เร่งปรับโครงสร้างองค์กร การบริหารงานใหม่ ระบุภายหลังจากมีผู้นำทัพ เชื่อสร้างยอดขายได้ทะลุ 1,050 ล้านบาท ส่วนขาดทุนสะสม 230 ล้านบาท คาดล้างได้หมดภายใน 2-3 ปี
ภายหลังที่บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) ว่างเว้นกรรมการผู้จัดการ นับจากนายสหัส ตันติคุณ กรรมการผู้จัดการคนล่าสุด ลาออกไปเมื่อ 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ทำให้ดูเหมือนว่า ความเคลื่อนไหวของบริษัท อีสเทอร์น สตาร์ฯเงียบหายไป ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา กรรมการบริหารต้องลงมาบริหารงานแทน
ล่าสุด คณะกรรมการบริหารบริษัทฯ ได้คัดเลือก นายรัตนชัย ผาตินาวิน มานั่งในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของบริษัทฯ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยนายรัตนชัย ได้เปิดเผยเป็นครั้งแรกถึงแผนการดำเนินงาน ภายหลังที่เข้ามาทำงานได้ 2 เดือนกว่า ว่า ภายหลังจากที่เข้ามาดูการดำเนินงานภายในของบริษัท ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรให้มีความกระชับมากขึ้น มีขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ชัดเจน จัดคนให้เหมาะสมกับงาน เพื่อให้เกิดความมีประสิทธิภาพ เนื่องจากที่ผ่านมามีความล้าช้าเพราะต้องสั่งงานผ่านกรรมการบริหาร
ทั้งนี้ เมื่อปรับโครงสร้างองค์กรใหม่เพื่อให้เกิดความคล่องตัวแล้ว จะเร่งดำเนินการด้านการตลาดโดยเฉพาะการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ การโปรโมชันกระตุ้นยอดขายในโครงการต่างๆ นอกจากนี้ จะเน้นสร้างแบรนด์ทั้งองค์กรและแบรดน์สินค้าให้เป็นที่รับรู้มากยิ่งขึ้น ซึ่งการสร้างแบรนด์จะต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 2 ปี
“ภายหลังจากที่ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร การบริหารงาน และเริ่มหันมารุกตลาด ทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ รวมถึงการจัดทำโปโมชัน เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้บริษัทมียอดขายที่ดีขึ้นและเดินไปข้างหน้าได้ ภายหลังจากที่ชะลอมากว่า 2 ปี อย่างไรก็ตาม ในการทำงานจะต้องมีความระมัดระวัง ไม่เน้นการเติบโตมาก แต่จะก้าวอย่างระมัดระวัง รุกในเวลาที่คิดว่าตลาดดี และชะลอในช่วงที่ตลาดไม่ดี” นายรัตนชัยกล่าวและว่า
ในปีนี้ ได้วางเป้าขายไว้ที่ 1,050 ล้านบาท จาก 6 โครงการเก่า และคาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 700-800 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีขาดทุนสะสมจำนวน 230 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถล้างขาดทุนได้หมดภายใน 2-3 ปี
ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจนั้น ยังคงสานต่อแผนเดินคือ การย้ายฐานการพัฒนามาที่กรุงเทพฯ จากเดิมที่บริษัทมีโครงการที่จังหวัดระยอง เพราะกรุงเทพเป็นตลาดที่ใหญ่ มีความเจริญกว่า อีกทั้งยังสามารถทำกำไรได้มากกว่าอีกด้วย โดยจะให้นำหนักไปที่คอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้า เน้นกลุ่มลูกค้าระดับ B – A+ โดยอาจจะแยกตลาดออกเป็น 2 แบรนด์ เพื่อความชัดเจนของสินค้า ลูกค้าและการทำตลาด
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนเปิดโครงการใหม่อีกประมาณ 2-3 โครงการภายในปีนี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดินหลายแห่งคาดว่าจะสรุปได้ 2-3 แปลง มูลค่าโครงการ 2,000-3,000 ล้านบาท ในปีนี้ ราคาที่ดินแปลงละประมาณ 200-350 ล้านบาท
ตัดทิ้งแลนด์แบงก์ระยองตุนเงินสด
นอกจากนี้ บริษัทยังมีนโยบายนำที่ดินสะสม(แลนด์แบงก์)ที่มีอยู่กว่า 1,000 ไร่ มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ในจังหวัดระยอง มาพัฒนาหรือแปลงเป็นสินทรัพย์อื่นเพื่อเพิ่มมูลค่าให้มากที่สุด โดยมีความเป็นไปได้ในการแบ่งแปลงขายมากกว่า เพราะศักยภาพของจังหวัดระยองยังมีไม่มากนัก และเป็นไปตามแผนเดิมในการย้ายฐานการพัฒนามาที่กรุงเทพฯมากขึ้น
ปัจจุบัน บริษัทและบริษัทย่อยมีโครงการที่กำลังดำเนินการอยู่ 8 โครงการ เป็นโครงการในกรุงเทพฯ 3 โครงการ และที่ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง อีก 5 โครงการ โดยโครงการในกรุงเทพฯ ใช้ชื่อแบรนด์ว่า เดอะ สตาร์ เอสเตท ได้แก่ 1.เดอะ สตาร์ เอสเตท แอท นราธิวาส ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 65% หรือประมาณ 980 ล้านบาท และคาดว่าภายในปีนี้จะมียอดขายประมาณ 90%
2.เดอะ สตาร์ เอสเตท แอท พระราม 3 คอนโดมิเนียม ปัจจุบัน มียอดขาย 75% หรือ 680 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการ 954 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถปิดการขายทั้งโครงการได้ภายในปีนี้ และ3.โครงการบ้านเดี่ยว เดอะ สตาร์ เอสเตท แอท พัฒนาการถนนพัฒนาการซอย 69 ราคาเริ่มต้น 14.9-30 ล้านบาท จำนวน 57 ยูนิต มูลค่าโครงการ 870 ล้านบาท ปัจจุบันขายไปแล้ว 230 ล้านบาท
สำหรับโครงการที่ระยองอีก 5 โครงการ ได้แก่ โครงการ เดอะ วินเทจ, โครงการ แฮมเล็ท ซึ่งเป็นหมู่บ้านในสนามกอล์ฟ อีสเทอร์น สตาร์ คันทรีคลับ แอนด์ รีสอร์ท และโครงการสตาร์ ทาวน์ เซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์อยู่ในแหล่งชุมชน
ในส่วนของบริษัทย่อย ที่ยังดำเนินการอยู่ในปัจจุบันได้แก่ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ รีสอร์ท จำกัด ทำกิจการสนามกอล์ฟ ให้บริการด้านกีฬา และสถานที่จัดสัมมนา และ บริษัท ซีสตาร์ พรอพเพอร์ตีส์ จำกัด ทำกิจการ บ้านและอพาร์ทเมนท์ ให้เช่า ในปีนี้ทั้งสองบริษัทได้มีนโยบายปรับปรุงทรัพย์สินและคุณภาพงานบริการ เพื่อสามารถเร่งทำการตลาดสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น
สำหรับกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทฯได้แก่ บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด 49.50% บริษัท บีบีทีวี เอ็คควิตี้ จำกัด 11.58% และ บริษัท ซันไรส์ อีคิวตี้ จำกัด 7.89%
|