|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ธปท.เผยผลประกอบการแบงก์ไตรมาสแรกปีนี้กลับมากำไรกว่า 3 หมื่นบาท จากไตรมาสก่อนที่ขาดทุน 7,500 ล้านบาท เหตุแบงก์หมดภาระกันสำรองตาม IAS39 และเริ่มมีกำไรจากเงินลงทุนและปริวรรตเงินตรา ขณะที่สินเชื่ออุปโภคบริโภคเริ่มขยายตัวในอัตราลดลง เหตุกังวลค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น หวังไม่สร้างแรงกดดันให้เอ็นพีแอลในระบบพุ่ง
นางฤชุกร สิริโยธิน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ในช่วงไตรมาสแรกอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยมีกำไรสุทธิ 3.1 หมื่นล้านบาท จากไตรมาสก่อนที่ขาดทุน 7.5 พันล้านบาท เนื่องจากภาระการกันสำรองตามมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ(IAS39) ได้ครบหมดแล้วตั้งแต่สิ้นปีก่อน ประกอบกับธนาคารพาณิชย์มีกำไรจากเงินลงทุนและจากการปริวรรตเงินตราเพิ่มขึ้น
“แนวโน้มการดำเนินธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ในระยะต่อไปน่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องเห็นได้จากเครื่องชี้และดัชนีที่เกี่ยวกับการลงทุนต่างๆ เริ่มขยายตัวดีขึ้นจึงน่าจะส่งผลดีต่อการขยายตัวของสินเชื่อ"
ทั้งนี้ ในส่วนของสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ขยายตัวในอัตราเร่งขึ้นเป็น 7.3% จากสิ้นปีก่อนที่ระดับ 4.6% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 2 ไตรมาส หลังจากได้ชะลอลงต่ำสุดในไตรมาส 3 ของปีก่อน โดยสินเชื่อธุรกิจมีการเร่งตัวเป็นหลักในสัดส่วน 5.5% จากสิ้นปีก่อน 1.5% ขณะที่สินเชื่ออุปโภคบริโภคขยายตัวลดลงจากไตรมาสนี้ 13.5% เทียบกับไตรมาสก่อน 16% เนื่องจากผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการก่อหนี้มากขึ้น
“แม้ในไตรมาสนี้สัดส่วนสินเชื่ออุปโภคบริโภคลดลง แต่เชื่อว่าจะไม่กดดันให้เอ็นพีแอลในระบบสูงขึ้น แม้ค่าครองชีพของประชาชนทั่วไปเพิ่มขึ้นในขณะนี้ เนื่องจากสินเชื่ออุปโภคบริโภคมีเอ็นพีแอลแค่ 23-24%หรือประมาณ 1 ใน 4 ของสินเชื่อรวม จึงไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อสินเชื่อโดยรวม ส่วนประเด็นที่ความสามารถในการชำระหนี้ในแต่ละกลุ่มธุรกิจจะลดลงหรือไม่เป็นเรื่องที่ธปท.กำลังติดตามดูอยู่อย่างใกล้ชิด และต่อไปการขยายตัวสินเชื่อจะดีขึ้นหรือไม่ขึ้นอยู่กับอุปสงค์ในประเทศและการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย”
ด้านเงินฝากเริ่มขยับเพิ่มขึ้นเป็น 2.8% หลังจากสิ้นไตรมาสก่อนชะลอต่ำสุดที่ 0.4% ซึ่งเกิดจากธนาคารพาณิชย์ต่างเร่งระดมเงินฝาก เพื่อรองรับการขยายตัวสินเชื่อที่เพิ่มมาก และขณะนี้ธนาคารพาณิชย์เริ่มมีวิวัฒนาการทางการเงินแบบใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะตั๋วแลกเงิน ทำให้เมื่อรวมเงินฝากกับตั๋วบี/อีแล้วจะมีอัตราการขยายตัวที่ 5.7% ซึ่งปัจจุบันในระบบมียอดคงค้างตั๋วบี/อีทั้งสิ้น 4.7 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามขณะนี้สภาพคล่องในระบบยังไม่ตรึงตัวนักเห็นได้จากอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากในขณะนี้อยู่ในระดับสูงถึง 90%
ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธปท.กล่าวว่า ส่วนหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ก่อนกันสำรอง (Gross NPL) มียอดคงค้าง 4.65 แสนล้านบาท แม้จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 11,807 ล้านบาท แต่มีสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมที่ลดลงต่อเนื่องจาก 7.3% เหลือ 6.8% ด้านหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่มีการหักสำรองหนี้เสียแล้ว( Net NPL)มีปริมาณเพิ่มขึ้น 11,662 ล้านบาท แต่สัดส่วนลดลงเหลือ 3.7% จาก 3.9% ในไตรมาสก่อน
โดยสินเชื่อภาคธุรกิจที่มีสัดส่วน 76.4%ของสินเชื่อรวมมีสัดส่วน NPL ลดลงเหลือ 7.6% โดยธุรกิจส่วนใหญ่มีสัดส่วน NPL ลดลงเกือบทุกประเภท โดยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ลดเหลือ 15% ธุรกิจก่อสร้าง 10.7% พาณิชย์ 6.6% สาธารณูปโภค 2.8% และธุรกิจการเงินลดลงเหลือ 1.4% ยกเว้นธุรกิจอุตสาหกรรมและบริการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 11.9% และ 7.4% ตามลำดับ ในขณะที่สินเชื่ออุปโภคบริโภคมีสัดส่วน NPL ทรงตัวในระดับใกล้เคียงกับสิ้นปีก่อนที่ 4.0%
ส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(BIS Ratio)ของระบบธนาคารพาณิชย์ลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 14.8% จากสิ้นปีก่อนที่ 14.9% เนื่องจากไตรมาสนี้สินเชื่อขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก แต่ยังนับว่าอยู่ในระดับน่าพอใจ เมื่อเทียบกับเกณฑ์ขั้นต่ำที่ธปท.กำหนดไว้ระดับ 8.5%
|
|
 |
|
|