ตลาดหุ้นไทยคึกคัก ผลักดันให้กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์โชว์ผลงานไตรมาสแรกโดดเด่น กำไรสุทธิรวมเกือบ 850 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 500 ล้านบาท คิดเป็น 150% โดยบล.กิมเอ็งฯ ยังครองแชมป์โบรกเกอร์ที่สามารถทำกำไรสูงสุด 166 ล้านบาท โบรกเกอร์เผยบล.ได้รับผลดีจากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นเกือบแตะ 2 หมื่นล้านบาท/วัน พร้อมปรับเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ หลังเพิ่มเป้ากำไรบล. ปีนี้เฉียด 2.3 พันล้านบาท เชียร์ลงทุน 3 หุ้นเด่น "BLS-KEST-PHATRA"
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยไตรมาสแรกที่ผ่านมา มูลค่าการซื้อขายมีเข้ามาอย่างคึกคัก แม้จะต้องเจอปัญหาเรื่องสินเชื่อด้อยคุณภาพภาคอสังหาริมทรัพย์ (ซับไพรม์) รวมถึงสถานการณ์เมืองที่ยังอึมครึมและส่อประทุขึ้นอย่างตลอดเวลา แต่ว่าได้มีปัจจัยบวกที่สำคัญคือการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งผลให้มีเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทยเป็นจำนวนมาก
โดยสิ้นไตรมาสแรกดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 817.03 จุด มูลค่าการซื้อขายรวม 1,187,312.92 ล้านบาท หรือเฉลี่ยวันละ 18,846.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 50 ที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 11,800.08 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7,046.16 ล้านบาท
จากมูลค่าการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นได้ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่มีรายได้หลักจากค่าธรรมเนียมจากการซื้อขายหลักทรัพย์ (คอมมิชชัน) ขณะเดียวกันบริษัทหลักทรัพย์เองได้ปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงาน ด้วยการหาแหล่งรายได้อื่นๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับการเปิดเสรีในอนาคต จึงส่งผลให้ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/50 ขยายตัวดีขึ้นจากปีทีผ่านมา
ผู้จัดการรายวัน ได้รวบรวมผลการดำเนินงานบริษัทหลักทรัพย์ทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประจำไตรมาส 1/51 รวม 13 บริษัท (ยกเว้นบล.พัฒนาสิน หรือ CNS ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน สิ้นสุด 29 ก.พ.51) ปรากฏว่า มีกำไรสุทธิรวมกัน 844.18 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 330.02 ล้านบาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 514.16 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วน 155.80% (ตารางประกอบข่าว)
หากพิจารณาเป็นรายบริษัทแล้วพบว่า บริษัทส่วนใหญ่ปรับตัวดีขึ้นสามารถพลิกสถานการณ์จากปีก่อนประสบปัญหาขาดทุนสุทธิมาเป็นกำไรสุทธิได้ในปีนี้ แต่มีเพียงบล.เอเชีย พลัส หรือ ASP เพียงแห่งเดียวที่กำไรสุทธิลดลงจาก 74.15 ล้านบาท เหลือ 82.91 ล้านบาท ลดลงกว่า 21.24 ล้านบาท คิดเป็น 28.64%
สำหรับบริษัทที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บล. ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ ZMICO กำไรสุทธิ 32.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 6,895.65% บล.แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) หรือ ASL กำไรสุทธิ 136.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 227.49% และบล.ซิกโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SSEC กำไรสุทธิ 10.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 158.54%
ขณะที่ บล. กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ KEST บล. แอ๊ดคินซัน หรือ ASL และ บล. ภัทร หรือ PHATRA เป็นบริษัทที่มีกำไรสูงสุด 3 อันดับแรกที่ 166.70 ล้านบาท 136.39 ล้านบาท และ 129.99 ล้านบาท ตามลำดับ
ASPขาดทุนจากซื้อขายหุ้น 25 ล.
นายประทีป ยงวณิชย์ กรรมการผู้อำนวยการ บล. เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP แจ้งว่า บริษัทมีกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ในงวดปี 50 เป็นจำนวน 56.30 ล้านบาท ขณะที่งวดปี 51 ขาดทุนจากการซื้อขายหลักทรัพย์ 24.74 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในหลักทรัพย์เพื่อค้าที่มีอยู่ ณ วันสิ้นงวดต่ำกว่าราคาทุน รวมทั้งค่าใช้จ่ายดำเนินงานเพิ่มขึ้นจาก 209.87 ล้านบาท เป็น 229.42 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9.31% เนื่องจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานประเภทการจ่ายผลตอบแทนเจ้าหน้าที่การตลาดเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีรายได้จากค่านายหน้าเพิ่มขึ้นจาก 212.96 ล้านบาท เป็น 287.54 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 35.02% เช่นเดียวกับรายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้นจาก 39.13 ล้านบาท เป็น 48.65 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24.32%
ซีมิโก้ส่วนแบ่งเพิ่มหนุนค่าคอมม์พุ่ง
นางดวงรัตน์ วัฒนพงศ์ชาติ รองกรรมการผู้จัดการ บล. ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ ZMICO กล่าวว่า ไตรมาส 1/51 บริษัทมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 84 ล้านบาท คิดเป็น 50% จากรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น 45 ล้านบาท หลังจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนถึง 79% ขณะที่ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มขึ้น 63% ขณะเดียวกันส่วนแบ่งตลาด (มาร์เกตแชร์) บริษัทเพิ่มขึ้นจาก 3.5% เป็น 3.9% รวมถึงรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 12 ล้านบาท จากส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้นจาก 1.8% เป็น 4.8%
กิมเอ็งฯค่าคอมม์เพิ่มกว่า 85%
นายภูษิต แก้วมงคลศรี กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST แจ้งว่า บริษัทมีรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 211.18 ล้านบาท เป็น 457.99 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 85.56% เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น โดยปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 1,718 ล้านบาท เป็น 3,129 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อย และปริมาณการซื้อขายโดยรวมของตลาดหลักทรัพย์
ขณะที่ รายได้จากค่านายหน้าซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่เพิ่มขึ้น 23.75 ล้านบาท เป็น 34.27 ล้านบาท คิดเป็น 225.72% เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 473 สัญญา เป็น 1,669 สัญญา ซึ่งเป็นไปตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายโดยรวมของตลาดอนุพันธ์
โบรกชี้ครึ่งปีหลังปรับตัวดีขึ้น
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า บล.เกือบทุกแห่งมีผลการดำเนินงานไตรมาส 1/51 ออกมาดี โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันกว่า 7 พันล้านบาท และมีแนวโน้มต่อเนื่องตลอดทั้งปี สังเกตจากเดือนเมษายนที่มีวันหยุดเป็นจำนวนมาก มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันยังคงสูงขึ้น นับเป็นสัญญาณที่ดีกว่าที่ผ่านมาทำให้คาดว่าในไตรมาส 2/51 มูลค่าการซื้อขายน่าจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่บล. ที่มีงานด้านวาณิชธนกิจ อาทิ การเป็นที่ปรึกษาทางการเงินนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ การออกหุ้นกู้หรือหุ้นเพิ่มทุน รวมถึงการรับเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายและประกันการจัดจำหน่าย จะทำให้บล. มีรายได้เข้ามาอีกทางหนึ่ง ทำให้ภาพรวมกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ยังคงน่าสนใจอยู่ ตามภาวะตลาดหุ้นช่วงครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะดีขึ้น
นายรณกฤต สาริณวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน กล่าวว่า ผลประกอบการกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ไตรมาส 2/51 มีแนวโน้มดีขึ้น แต่คงไม่โตมากนัก เนื่องจากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยตลาดหุ้นไทยคงไม่ขยายตัวมากนักเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งปีหลังผลประกอบการของบริษัทหลักทรัพย์จะดีขึ้น เนื่องจากมองว่าภาวะการลงทุนตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน แต่ในส่วนของราคาหุ้นคงปรับตัวขึ้นได้ไม่มาก เนื่องจากมีอัพไซด์ค่อนข้างต่ำ รวมถึงในอนาคตยังติดปัญหาการเปิดเสรีค่าคอมมิชชันอยู่
เพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นโบรกเกอร์
ด้านบล. เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่าตลาด จากเดิมเท่ากับตลาด เนื่องจากช่วงที่ผ่านามูลค่าการซื้อขายทรงตัวระดับสูงกว่า 20,000 ล้านบาท ส่งผลให้วอลุ่มเฉลี่ยตั้งแต่ต้นอยู่ที่ 19,000 ล้านบาทต่อวัน สูงกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ที่ 17,500 ล้านบาท และคาดว่าช่วงที่เหลือของปีนี้มูลค่าการซื้อขายจะทรงตัวสูงกว่า 20,000 ล้านบาทอย่างต่อเนื่องจากภาวะของตลาดจะสดใสขึ้น
"จากความเชื่อมั่นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ บวกกับความกังวลปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในสหรัฐฯ และปัญหาซับไพรม์ที่ตลาดได้มีการรับรู้ไปแล้ว ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่วอลุ่มการซื้อขายเฉลี่ยทั้งปี 2551 จะสูงกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ จึงได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์วอลุ่มปีนี้เพิ่มขึ้น 14.3%เป็น 20,000 ล้านบาท"
คาดกำไรบล.ปีนี้โต24%เป็น2,269ล.
สำหรับแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 2/51 มีแนวโน้มที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/51 และไตรมาส2/50 โดยเฉพาะบล.ภัทร จากที่จะได้รับค่าธรรมเนียมด้านวาณิชธนกิจเพิ่มขึ้นสูงสุด จากการนำบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยบริษัทได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิกลุ่มหลักทรัพย์ปีนี้เพิ่มขึ้น 24% เป็น 2,269 ล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1,837 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ปรับเพิ่มคำแนะนำหุ้น บล.บัวหลวง บล.กิมเอ็ง และภัทร เป็น ซื้อ จากเดิมแนะถือ เนื่องจาก คาดกำไรสุทธิทั้งปี บล.บัวหลวงเพิ่มขึ้น 14% และราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น 32%และได้รับผลดีจระยะยาวที่จะได้รับความช่วยเหลือ จาก ธนาคารกรุงเทพ ทั้งในด้านลูกค้าซื้อขายหลักทรัพย์ งานด้านวาณิชธนกิจทำให้บริษัทมีความมั่นคงของรายได้เพิ่มขึ้น ส่วนบล.เคจีไอ บล.บีฟิท และบล.พัฒนสินยังคงแนะนำซื้อเช่นเดิม
ส่วนบล.กิมเอ็งคาดว่าจะมีกำไรปี51 เพิ่มขึ้น 32% จากวอลุ่มที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดทรางตัวได้ และบล.กิมเอ็งพยายามเพิ่มรายได้จากช่องทางอื่นๆมากขึ้น เช่น การบริหารกองทุนที่จะกระจายฐานรายได้แก่บริษัท ขณะที่บล.ภัทรคาดไตรมาส2/51คาดกำไรฟื้นตัวชัดเจนจากการนำหุ้นESSO ซึ่งมีการระดมทุนรวมถึง9.5 พันล้านบาทและการที่มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ในระดับที่สูง 5.7%
|