|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บีเอฟเอ็มเร่งแก้โจทย์ตลาดแผ่นอะลูมิเนียมคอมโพสิทโตต่ำกว่าเป้า หลังอสังหาฯ ซบต่อเนื่อง ดิ้นหาตลาดใหม่ แตกไลน์เพิ่มสินค้าตกแต่งภายในอาคาร พร้อมชูนวัตกรรมประหยัดพลังงาน เกาะกระแสโลกร้อน
แม้บีเอฟเอ็มจะหนึ่งในผู้นำเข้าแผ่นอะลูมิเนียมคอมโพสิทภายใต้แบรนด์ ALPOLIC /fr จากญี่ปุ่นมากว่า 10 ปี แต่ด้วยคุณสมบัติของสินค้าที่เป็นของใหม่ ใช้กันในวงแคบ ตลาดยังไม่ค่อยรู้จัก รวมทั้งยังไม่มีกฎหมายบังคับเรื่องการเลือกใช้วัสดุในการออกแบบอาคารให้ปลอดภัย ทำให้โจทย์ของบีเอฟเอ็มในการทำตลาด คือ ต้องเร่งสร้างความรู้เรื่องตัวสินค้าแก่กลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง โดยการวางสเปคกับสถาปนิก และเดินสายให้ความรู้เรื่องสินค้ากับกลุ่มสถานศึกษาเป็นหลัก เพื่อเปลี่ยนตลาดให้หันมาใช้แผ่นผนังคอมสิทไส้กลางกันไฟในการตกแต่งอาคารแทนการใช้วัสดุอื่นๆ
คีย์แมสเสจที่บีเอฟเอ็มใช้ในการสื่อสารกับตลาด คือ เป็นแผ่นอะลูมิเนียมคอมโพสิทที่มีไส้กลางเป็นแร่ทนไฟ ที่มีคุณสมบัติไม่ติดไฟ และไม่ก่อให้เกิดควันพิษ จึงปลอดภัยเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ แตกต่างจากสินค้าทั่วไปในตลาดที่ใช้พลาสติกเป็นไส้กลาง รวมทั้งการเคลือบผิวด้วยลูมิฟลอน เบสต์ ฟลูโรคาร์บอน ทำให้สีผิวคงทนกว่าสีประเภท PVDF ทั่วไป จึงทนทาน ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา โดยในปีนี้บีเอฟเอ็มได้เพิ่มแนวคิดเรื่อง Green Building เข้าไป เพื่อรับกระแสภาวะโลกร้อนด้วย โดยชูจุดขายเรื่องสินค้าที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ อะลูมิเนียมสามารถรีไซเคิลได้ ช่วยสะท้อนรังสีความร้อน ทำให้อาคารเป็นอาคารอนุรักษ์พลังงาน ช่วยประหยัดไฟฟ้า
จากภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัวลงในปีที่แล้วทำให้ตลาดรวมแผ่นอะลูมิเนียมคอมโพสิทจากที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโต 30% กลับเติบโตเพียง 10% คิดเป็นมูลค่า 1,000 ล้านบาท หรือ 1 ล้าน ตร.ม. ซึ่งกศิปัญญ์ ศิริธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี เอฟเอ็ม จำกัด กล่าวว่า ยอดขายในปี 2550 ของบริษัทก็เติบโตขึ้นเพียง 10% เช่นกัน หรือมียอดขาย 280 ล้านบาท ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าในปีนี้ตลาดแผ่นอะลูมิเนียมคอมโพสิทยังมีโอกาสเติบโตจากนโยบายเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การผลักดันโครงการเมกะโปรเจกต์จะทำให้เกิดการลงทุนมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่นงานก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าที่เป็นอาคารสาธารณะส่วนใหญ่จะกำหนดสเปควัสดุที่ต้องทนไฟ ซึ่งตรงกับสินค้าของบริษัทฯ รวมทั้งยอดขายจากโครงการของภาคเอกชนที่จะเพิ่มขึ้น หลังความเชื่อมั่นหวนกลับมา
กศิปัญญ์บอกว่า ขณะนี้การใช้งานแผ่นอะลูมิเนียมคอมโพสิทประเภทไส้กลางกันไฟในตลาดยังมีน้อยมาก บางรายยังใช้ไส้กลางเป็นพลาสติก หรือใช้วัสดุอื่นๆ ในการตกแต่งภายนอกอาคาร อีกทั้งคู่แข่งที่เป็นสินค้าประเภทเดียวกันยังไม่เน้นการทำตลาดมากนัก จึงเป็นโอกาสที่บีเอฟเอ็มจะเร่งสร้างแบรนด์ และเร่งทำตลาดล่วงหน้า ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่ทางการออกกฎหมายควบคุมเรื่องนี้ ก็จะยิ่งดันให้ตลาดเติบโตได้อีกมากในอนาคต
แม้บริษัทจะได้ประโยชน์จากค่าบาทที่แข็งขึ้นมาช่วยเหลือเรื่องต้นทุนในการนำเข้าสินค้า แต่สิ่งที่ยังดูเป็นอุปสรรคในการทำตลาดของบีเอฟเอ็ม คือ พิกัดภาษีสินค้านำเข้าที่บริษัทต้องรับภาระถึง 5% ทำให้การตั้งราคาต้องพุ่งเป้าไปที่ตลาดบนหรือโครงการเกรดเอทั้งสร้างใหม่และรีโนเวทที่มีกำลังซื้อสูงแทน เช่น โรงแรม คอนโดมิเนียมไฮเอนด์ โรงพยาบาล เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า รวมทั้งโชว์รูมที่กศิปัญญ์บอกว่าเป็นตลาดที่เติบโตเป็นพิเศษ ในขณะที่งานก่อสร้างของราชการยังเป็นตลาดที่เจาะเข้าไปได้ยาก เพราะงานราชการยังไม่ค่อยให้ความสำคัญในการกำหนดสเปคให้เป็นวัสดุทนไฟมากนัก และปัญหาใหญ่ของผู้ผลิตทุกราย คือ เรื่องต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมัน ราคาวัตถุดิบ เช่น อะลูมิเนียม ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักๆ ของการผลิตที่ขึ้นราคาไปแล้ว 20-30% ทำให้สถาปนิกและผู้รับเหมาต้องรัดเข็มขัดลดการใช้วัสดุราคาแพง บีเอฟเอ็มจึงใช้โปรแกรม Panel Cut Optimization มาช่วยในการคำนวณปริมาณที่ใช้ และการตัดแผ่นให้เหลือเศษวัสดุให้น้อยที่สุด เพื่อช่วยให้ลูกค้าสั่งสินค้าน้อยที่สุด
บีเอฟเอ็มดิ้นไปสู่การหาตลาดใหม่ๆ ด้วยการรุกไปยังตลาดที่อยู่อาศัยเพิ่ม โดยการเปิดตัวแผ่นอะลูมิเนียมคอมโพสิทรุ่นใหม่ เป็นการเพิ่มการใช้งานของสินค้าที่ไม่จำกัดเฉพาะการใช้งานภายนอกอาคาร ได้แก่ ชุดลายหินและลายไม้ (Stone & Timber Series) ใช้ตกแต่งภายในบ้านได้ ซึ่งมีราคาถูกกว่าการใช้หินนำเข้าหรือไม้จริง น้ำหนักเบากว่า สามารถลดน้ำหนักของโครงสร้างอาคารได้ ทั้งนี้คาดว่าสินค้ารุ่นใหม่จะแชร์รายได้ในสัดส่วน 10% โดยในปีนี้ตั้งเป้ารายได้เติบโต 25% หรือมียอดขาย 350 ล้านบาท จากปัจจุบันบีเอฟเอ็มมีมาร์เก็ตแชร์อยู่ 30%
|
|
|
|
|